ยุวดี พันธ์นิคม ผู้ปลดล็อคขีดจำกัดสู่ชีวิตแบบไร้ขีดจำกัด

“ข้อจำกัด” ไม่ว่าจะมากหรือจะน้อยนับว่าเป็นเรื่องที่เราต่างต้องมีและต้องเจอตลอดช่วงชีวิตหนึ่ง ใครหลายคนอาจถือเอาสิ่งที่ว่านี้มาเป็นข้ออ้างในการบอกกับตัวเองว่านี่คืออุปสรรคที่ทำให้ชีวิตไปได้ไม่ถึงฝั่งฝัน แต่ไม่ใช่สำหรับ ออย – ยุวดี พันธ์นิคม เธอพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งกระดูกและมะเร็งปอดเมื่อตอนอายุ 14 ซึ่งทำให้เธอต้องตัดขาซ้ายและปอดขวาเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ แม้มะเร็งจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม แต่เธอสามารถก้าวข้ามความไม่สมบูรณ์นั้นได้ด้วยคำว่า “ไม่ยอมแพ้” ในวัย 36 ออยใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ได้ทำในสิ่งที่รัก มีครอบครัวที่น่ารักอยู่เคียงข้าง เป็นนักวิ่งมินิมาราธอน และยังมีเพจเฟซบุ๊กชื่อ ออยลี่ฟอกซ์ ที่คอยจุดประกายและส่งต่อพลังดีๆ …สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเธอเองเท่านั้น แต่รวมถึงคนอื่นๆ ด้วยว่าการใช้ชีวิตได้อย่างดีด้วยการยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเองนั้นเป็นอย่างไร  

เพราะการเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

“ย้อนกลับประมาณ ม.3 เทอม 1 อายุประมาณ 14 ปี ตอนนั้นออยมีอาการปวดขา เป็นๆ หายๆ มาตลอด แต่คิดว่านั่นคืออาการปวดทั่วๆ ไป ไม่ได้สนใจอะไร จนเวลาผ่านไป ออยเริ่มปวดถี่ขึ้นๆ จนนอนเพ้อ เลยไปหาคุณหมอซึ่งตอนแรกยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่มีการวินิจฉัยเบื้องต้นว่าความเป็นไปได้อย่างหนึ่งคือเนื้องอกในกระดูก หลังจากผ่าตัดตรวจดูชิ้นเนื้อปรากฏว่าเป็นเนื้อร้าย คุณหมอเลยขอสแกนทั้งตัวถึงได้เห็นว่าออยเป็นมะเร็งกระดูกและลามไปที่ปอดซ้ายและขวา อยู่ในระยะกระจายแล้ว”

เมื่อ 20 ปีที่แล้ว การรักษาในเวลานั้นคือการตัดที่จุดกำเนิดเพื่อรักษาชีวิตไว้ ซึ่งหากไม่ตัด เธออาจจะเสียชีวิตภายใน 1-2 ปี หลังจากแผลผ่าตัดที่ขาด้านซ้ายเริ่มหายดี เธอเริ่มให้คีโมไปได้ระยะหนึ่งกระทั่งก้อนเนื้อมะเร็งที่ปอดซ้ายยุบลงเหลือ 5-6 มิลลิเมตร ขณะที่ด้านขวาไม่มีทีท่าว่าจะยุบลง ซึ่งด้วยสภาพร่างกายที่เริ่มไม่ไหว คุณหมอจึงแนะนำให้ออยตัดปอดด้านขวาออกเสีย “ตอนนั้นออยไม่ได้ปรึกษาใครว่าจะตัด ไปบอกกับคุณพ่อคุณแม่เลยว่า ลูกจะตัดปอดนะ เมื่อตัดปอดข้างขวาออกไป ออยให้คีโมมาต่อเนื่องมาจนกำลังจะเข้าสู่คอร์สที่ 9 จาก 12 คอร์ส ระหว่างเตรียมตัว ออยบอกพยาบาลว่าเวลาอ่านหนังสือ แต่ตาของเราไม่โฟกัสไปที่จุดที่มอง แต่จะเห็นด้านข้าง คุณพยาบาลเลยพาเข้าตรวจตาทันที ผลออกมาว่าเลือดออกที่ตาดำ ตาออยกำลังจะบอด จึงต้องหยุดให้คีโมเพราะไม่สามารถให้ต่อได้แล้ว คุณหมอเลยให้ออยกลับไปพักรักษาตัวต่อที่บ้าน เรื่องของการรักษาคือจบแค่วันนั้น แต่มีติดตามผลกับคุณหมอต่อมาเรื่อยๆ จนผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว”

หลังจากหยุดการรักษา ออยใช้ชีวิตเป็นปกติทุกอย่าง ไม่ได้เข้มงวดเรื่องอาหารการกินมากนัก ขอเพียงมีประโยชน์ต่อร่างกายและเป็นอาหารที่ชอบ “ตอนที่เป็นมะเร็ง อาหารอย่างเดียวที่ออยทานได้คือมาม่าต้มยำกุ้งใส่โบโลน่า ซึ่งคุณหมอไม่เคยห้ามเลย ขอแค่อย่างเดียวว่าให้ใส่ไข่เพื่อเพิ่มโปรตีนสักหน่อย หลังจากเริ่มห่างจากการให้คีโม ออยก็ทานปกติอะไรนัวๆ มาได้เลยค่ะ

ส่วนที่ยากลำบากจะเป็นตอนที่ต้องใส่ขาเทียม ซึ่งก่อนที่จะได้ขาเทียมมา ทุกคนบอกไว้ว่าออยจะสามารถทำกิจวัตรได้เหมือนเดิมเลย ไม่ต้องกังวล เราก็วาดฝันไว้แบบนั้นเลย แต่พอได้มาแล้ว ถึงบ้านออยถอดทิ้งเลย เพราะขาเทียมไม้ที่ได้มาทั้งแข็งและหนักประมาณ 10-15 กิโลกรัม ใส่แล้วเจ็บมากแถมยังเดินได้ไม่เหมือนเดิม เรารู้สึกแย่ว่าทำไมทุกคนต้องหลอก เราวาดฝันจินตนาการว่าจะกลับไปเดินได้เหมือนเดิม ออยอยู่กับความรู้สึกนั้นพักใหญ่ๆ จนท้ายที่สุดมาคิดได้เองว่า ถ้าไม่ใส่ขาเทียม เราไม่สามารถทำอะไรได้สะดวก ถ้าไม่คิดที่จะหัดเดินได้เหมือนคนปกติ อนาคตเราไม่มีเลยนะ ความฝันที่อยากจบปริญญาตรี อยากดูแลคุณพ่อคุณแม่ จะทำไม่ได้นะ วันนั้นออยตัดสินใจลองหัดเดิน ถึงจะเจ็บแต่ต้องหัด และด้วยความโชคดีของออยที่เพื่อนๆ คอยช่วยตลอด จำได้ว่าต้องใช้เวลาเกือบปีถึงจะกลับมาเดินได้ด้วยขาเทียมเพราะออยลืมการเดินไปแล้ว ช่วงแรกออยยังเดินได้ไม่เป็นธรรมชาติเหมือนขาจริง จนเปลี่ยนมาใช้ขาปัจจุบันที่วัสดุและองศาการพับใกล้เคียงกับสรีระทำให้การเดินของออยเป็นการเดินแบบปกติที่ใช้สะโพกซึ่งเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ในการเดินได้แล้ว”

วิ่ง วิ่ง และวิ่ง…สิ่งซึ่งทลายกำแพงที่ชื่อว่า ‘ข้อจำกัด’

“ออยเกลียดการเดินมาตลอด เกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ออยพยายามเดินให้น้อยที่สุด แค่ 100 เมตรก็ไม่อยากจะเดินแล้ว และจะเป็นคนที่นั่งคอยเสมอ ถ้าไปเที่ยวกับลูกและสามี เราจะให้คุณพ่อพาลูกไป ส่วนตัวเองจะนั่งคอย ไม่ได้ทำทุกกิจกรรมร่วมกับลูกเพราะว่าเราเจ็บเวลาที่เดิน จนเข้าสู่วัย 30+ ออยมีความรู้สึกว่าไม่อยากโดนทิ้งไว้ข้างหลังและอยากไปได้ไกลกว่านี้ ปี 2562 ออยบอกกับสามีว่า “ฉันอยากบอกรักตัวเอง ปีนี้ฉันจะให้ของขวัญตัวเองด้วยการออกกำลังกายนะ” สามีก็พาไป ช่วงแรกออยออกกำลังกายกับอุปกรณ์ที่มีในสวนสาธารณะอยู่ประมาณ 15 นาที ซึ่งแค่นั้นก็เหนื่อยแล้วและจะมานั่งรอจนสามีออกกำลังกายเสร็จ กระทั่งวันหนึ่งอยากลองเดินดู แต่เดินแค่ 200 เมตรแรก ออยเริ่มเจ็บขา เลยเดินๆ พักๆ จนครบ 1 กิโลเมตร จำได้ว่าใช้เวลาอยู่ประมาณ 23 นาที แต่หลังจากวันนั้น ออยจะพยายามเดินทุกครั้งเมื่อออกกำลังกายด้วยอุปกรณ์เสร็จเรียบร้อย และมาสังเกตตัวเองว่า 200 เมตรที่เคยเจ็บในวันแรก เราไม่ได้เจ็บที่จุด 200 เมตรแล้ว ความเจ็บเริ่มลดน้อยลง ขณะที่เราเดินได้ในระยะทางที่ไกลมากขึ้น สุดท้ายจุดเจ็บของออยมาจบที่ 3 กิโลเมตร ตั้งแต่นั้นมาเลยอินกับการเดินมาโดยตลอดเลยค่ะ”

ในปีเดียวกัน เธอได้เห็นประกาศโครงการ “วิ่งสู่ชีวิตใหม่ Run for New Life Story” โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่เปิดรับคัดเลือกบุคคลซึ่งมีปัญหาทางด้านสุขภาพ น้ำหนักเกิน เป็นผู้พิการ ออฟฟิศซินโดรม และมีความฝันที่อยากจะเปลี่ยนตัวเองให้มีสุขภาพและชีวิตดีขึ้นด้วยการวิ่ง ซึ่งนี่เป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเธอ

“โครงการนี้เป็นการชวนคนที่ไม่เคยออกกำลังกายเลยมาลองวิ่งดูที่ระยะทาง 10 กิโลเมตร พอได้ดูรายละเอียด เรารู้สึกว่าฝันของตัวเองเริ่มใหญ่ขึ้นว่าอยากจะไปเตะจุด 10 กิโลเมตรให้ได้ เลยลองเขียนชีวิตและเหตุผลต่างๆ ส่งเข้าไปที่โครงการดู ปรากฏว่าได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 8 บุคคลต้นแบบ ได้ไปฝึกโดยมีโค้ชและนักโภชนาการมาช่วยดูแล” ซึ่งเธอสามารถวิ่งในระยะทาง 10 กิโลเมตร ด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 9 วินาที เป็นการพิชิตมินิมาราธอนแรกได้ของเธอเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2562

“การวิ่งเปลี่ยนแปลงตัวออยไปหลายๆ อย่าง เวลาวิ่งออยไม่ได้ฟังเพลงเพราะอยากปล่อยให้สมองโล่งๆ เป็นหนึ่งช่วงโมงที่ได้อยู่กับตัวเองและกลับมารักตัวเองในแบบที่เป็น กลายเป็นว่าทุกครั้งที่มีปัญหาหรือความเครียด การวิ่งทำให้ออยสลัดความรู้สึกแย่ๆ ออกไปได้หมดและกลับมามีความสุขได้อีกครั้ง ต้องบอกว่าทุกครั้งที่วิ่ง ออยจะเจ็บและได้แผลกลับมาเสมอ มีคนถามเหมือนกันนะว่า แล้วคุณจะทรมานตัวเองทำไมในเมื่อคุณเจ็บ แต่ความเจ็บนั้นไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป อาบน้ำ นอน อีกวันหนึ่งความเจ็บนั้นก็หายไป นอกจากจะได้เห็นความมหัศจรรย์ของร่างกายและสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นแล้ว การวิ่งยังสอนอะไรออยอีกหลายอย่าง ทั้งการฝึกจิตใจ ความอดทน สติ สมาธิ ได้มิตรภาพ เป็นสิ่งที่ทำให้เราชนะตัวเอง รักตัวเอง ลืมข้อจำกัดของตัวเอง และอยากทำให้ตัวเองดีขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือมันทำให้ออยสามารถเดินเคียงข้างสามีและลูกได้โดยที่ไม่ต้องนั่งรอพวกเขาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้กลายเป็นว่าทุกเช้าที่เป็นวันหยุดออยจะต้องปลุกสามีออกไปวิ่งด้วยกัน ทางนี้ก็จะบ่นว่า “ไม่น่าเล้ย” (หัวเราะ)”

ที่เปลี่ยนไปคือ ‘หัวใจและทัศนคติ’

“ก่อนที่จะเป็นมะเร็ง ออยมีความรู้สึกว่าใครเป็นโรคนี้นี่โชคร้ายนะ เพราะเป็นแล้วต้องตาย ครอบครัวออยคิดแบบนี้เหมือนกัน พวกเขาเลยพยายามจะอยู่ใกล้และตามใจเราให้มากที่สุดเพราะคิดว่าออยคงมีเวลาเหลืออีกไม่นาน ตอนที่ต้องตัดขา ออยต้องการกำลังใจและความเห็นใจจากคนอื่นมากๆ โดยเฉพาะคนปกติ เวลาขึ้นรถไฟฟ้าจะคิดว่า ทำไมคนในขบวนถึงไม่ลุกให้เรานั่งนะ เราเป็นคนพิการนะ จนวันหนึ่งที่ออกมาใช้ชีวิตจริงๆ ได้เห็นโลกภายนอก ได้เห็นศักยภาพตัวเอง ออยรู้สึกโชคดีมากที่ตัวเองเป็นแค่นี้และยังไม่ตาย ซึ่งการมีชีวิตอยู่ทำให้เราได้ทำอะไรได้อีกเยอะมาก

แม้มะเร็งจะทำให้ออยไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม แต่มะเร็งทำให้เรายอมรับ เห็นคุณค่า และรักตัวเองในแบบที่เป็น เดี๋ยวนี้ถ้าไม่มีใครลุกให้นั่ง ออยจะมองอีกแบบแล้วว่าเพราะเราแข็งแรงไง หรือเขาอาจจะเหนื่อยจากงาน ตอนนี้ไม่รู้สึกไม่ดีอะไรอีกแล้ว ออยเสียดายเวลาที่ผ่านมาว่าตัวเองมัวไปนั่งน้อยใจกับโชคชะตาทำไม ถ้ามีโทรศัพท์ที่โทรกลับไปบอกตัวเองในอดีตได้ ออยจะบอกกับตัวเองว่าดีแล้วนะที่ตัดสินใจตัดขาและปอด เพราะอนาคตของเธอดีมากและมีความสุข แล้วกลายเป็นว่าพลังบวกเหล่านี้ยังแผ่ขยายไปให้คนรอบๆ ตัวเราด้วย”

ความสวยงามของฟ้าหลังฝน

“การที่ออยประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ได้ก็เพราะมีคุณพ่อ คุณแม่ พี่สาว เพื่อนๆ สามี และลูกที่อยู่เคียงข้างกับเรามาในทุกๆ จังหวะชีวิต ไม่ว่าจะร้องไห้หรือมีความสุขอย่างทุกวันนี้ พวกเขาคือสิ่งที่ดีที่สุดและเป็นของขวัญในชีวิต สิ่งที่มะเร็งมอบให้ออยคือทำให้เรารู้จักคุณค่าของเวลา คนรอบข้าง และได้รู้แล้วว่าการใช้ชีวิตให้คุ้มค่านั้นเป็นอย่างไร ต่อให้ตอนนี้ออยเหลือเวลาอยู่แค่ 3 เดือน ออยจะไม่เสียใจแล้ว แต่จะใช้เวลาทั้งหมดที่มีทำอะไรต่อมิอะไรอย่างเต็มที่ พูดขอโทษ ขอบคุณ อโหสิกรรม ทำสิ่งที่ดีกับคนที่รัก ทำสิ่งที่ตัวเองรักอย่างสุดความสามารถ และจะทำให้ทุกนาทีของการมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียดายอีกต่อไป”

ขอจงหนักแน่นและยืนหยัดเพื่อจะมีชีวิตอยู่

“ตอนผ่าตัดปอด คำพูดแรกหลังจากตื่นขึ้นคือ “พ่อปล่อยออยไปเถอะ ออยไม่ไหวแล้ว อย่ายื้อ อย่ารั้งออยไว้อีกเลย” แต่ความรักและกำลังใจของคนรอบๆ ตัวที่ส่งมาให้มีมากเหลือเกิน มากจนทำให้เรากลับมาเข้มแข็งได้อีกครั้ง ออยบอกตัวเองว่าเราจะท้อ จะหมดหวังทำไม ในเมื่อพลังบวกที่พวกเขาส่งมาให้เต็มเปี่ยม พวกเขาพร้อมสนับสนุนเราทุกๆ อย่างขนาดนั้น ใจเราต้องให้ร้อยกลับไป ต้องสู้ให้เต็มที่สิ จริงๆ ออยไม่คิดเลยว่าตัวเองจะผ่านมาได้จนถึงตอนนี้ก็ 20 กว่าปีแล้วนะคะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะบอกได้ก็คือ หากคุณหมอแนะนำอะไร อย่าดื้อเลยค่ะ ออยอยากให้ลองมองสิ่งดีๆ ที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นพลังใจจากคนรอบข้างหรือสิ่งดีๆ จากตัวเอง เช่นว่าวันนี้ฉันทำอะไรได้บ้าง ฉันเดินได้ 1 ก้าวนะ วันต่อไปเดินได้ 2 ก้าวแล้ว จากจุดเล็กๆ แบบนี้คุณจะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ออยอยากให้คนที่กำลังท้อหรือหมดกำลังใจลองใช้ชีวิตอยู่โดยมองที่ปัจจุบันขณะ ทำหน้าที่ของตัวเองในวันนี้ นาทีนี้ให้ดี ถ้าวันนี้เหนื่อยแล้ว หยุดพัก แล้วพรุ่งนี้เรามาเริ่มกันใหม่”

เรื่อง: สุดาพร จิรานุกรสกุล   
ภาพ: ศรัณย์ แสงน้ำเพชร
ภาพเพิ่มเติม: ยุวดี พันธ์นิคม

เมื่อไม่สูบบุหรี่ ไม่มีกรรมพันธุ์ แต่ยังเป็นมะเร็งปอดได้…ชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป!!’ อรสิรี ตั้งสัจจธรรม อยู่กับมะเร็งอย่างมีสติ

เราอาจคุ้นเคยกับการที่ใครสักคนเรียกสัตว์เลี้ยงแสนรักด้วยสรรพนามว่า ‘เขา’ แปลกหน่อยก็อาจเป็นสิ่งของที่ใครคนนั้นผูกพัน แต่แทบไม่ได้ยินคำนี้กับมะเร็ง

ตั๊กอรสิรี ตั้งสัจจธรรม ใช้สรรพนามเรียกเซลล์มะเร็งในร่างกายของเธอว่า ‘เขา’

“หลังจากที่เจาะน้ำที่ปอดไปตรวจ ก็เจอเขาเลย”, “พอกินยาเขาก็ยุบลงไปบ้าง” หรือ “เขาไม่มีทางหาย ทุกวันนี้ก็ต้องอยู่ด้วยกันไป” เป็นอาทิ

ก่อนหน้านี้ตั๊กทำงานด้านการบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งสร้างรายได้แก่เธออย่างมั่นคง เธอแต่งงานตอนอายุสามสิบปี มีแผนจะสร้างครอบครัวในอุดมคติ หากไม่ใช่เพราะอาการไอแปลกๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในวัยสามสิบสอง

จากอาการไอเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่มีไข้และเสมหะไม่กี่ครั้งต่อวัน กลับกลายเป็นความถี่ที่ใครได้ยินก็ตระหนักได้ว่าผิดปกติ

“เราไม่ใช่คนสูบบุหรี่และดื่มเหล้า คนรอบตัวก็ไม่สูบบุหรี่ ครอบครัวก็ไม่มีประวัติเป็นมะเร็ง ตอนไปหาหมอ ก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมาก” ตั๊กกล่าว

เริ่มจากที่คุณหมอจ่ายยาพื้นฐานอย่างยาแก้ไอ กระนั้นหลังจากที่ตั๊กกินยาไปได้สักพัก เธอก็ยังมีอาการไออยู่ เธอเข้า-ออกโรงพยาบาลอยู่ 5 ครั้ง ด้วยคำวินิจฉัยว่าน่าจะเป็นกรดไหลย้อนไปจนถึงหอบหืด แต่ไม่ว่าจะได้รับยาอะไร ตั๊กก็ยังไม่หยุดไอ กระทั่งคุณหมอให้เธอไปเอ๊กซเรย์ปอด แล้วพบว่ามีน้ำขังอยู่ข้างในพร้อมกับฝ้าสีขาวที่ขึ้นบนเนื้อปอด

“ถึงตรงนั้นคุณหมอก็บอกว่าน่าจะเป็นวัณโรค เลยเจาะน้ำในปอดไปตรวจ พอเจาะออกมา ปรากฏว่าน้ำเป็นสีเลือด แทนที่จะเป็นสีเหลืองใสแบบที่ผู้ป่วยวัณโรคเป็นกัน…”

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ตั๊กก็ได้รับคำยืนยันว่ามีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลล์ที่ว่ามีชื่อว่า Adenocarcinoma เป็นเซลล์แบบ non small cell ชนิดที่มี ALK เป็นบวก ซึ่งจะไม่พบจากผู้ป่วยมะเร็งปอดที่เกิดจากการสูบบุหรี่ แต่เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนอย่างไม่ทราบสาเหตุ คุณหมอบอกเธอว่ามีเพียง 2-5% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดเท่านั้นที่จะพบเซลล์ชนิดนี้

ฟังดูว่าแย่แล้ว แต่ที่แย่กว่าก็คือหลังจากทำ PET scan ก็พบว่าเซลล์ร้ายได้ลุกลามจากปอดไปยังอวัยวะภายในอื่นๆ แล้ว – เธอเป็นมะเร็งขั้นที่ 4

กล่าวให้ชัดคือ นี่เป็นระยะที่ไม่มีวันจะหายขาด


การต่อสู้เพื่ออยู่กับมะเร็งให้ได้

            ปัจจุบันตั๊กอายุ 34 ภายนอกดูเป็นผู้หญิงที่กระฉับกระเฉง แข็งแรง และมองโลกในแง่บวก หากไม่ถาม ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าภายในร่างกาย – เนื้อปอดทั้งสองข้าง, ช่องเยื่อหุ้มปอด, ตับ, ต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่ไหปลาร้าลงมาถึงช่องท้อง และกระดูกของเธอ ล้วนมีเซลล์มะเร็งกระจายอยู่ทั่ว ถึงวันนี้ เธออยู่กับพวกมันมาได้สองปีกว่าแล้ว

            แม้เธอบอกว่าตลอดสองปีที่ผ่านมามีเจ็บปวดบ้าง แต่โดยรวมก็ผ่านมาได้ด้วยดี กระนั้นการต่อสู้ภายในร่างกายของตั๊กก็เรียกได้ว่าดุเดือดและสาหัส เริ่มจากโจทย์แรกที่ว่าเชื้อมะเร็งที่ลุกลามทำให้เธอไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ คุณหมอจึงรักษาด้วยการให้กินยามุ่งเป้าเพื่อยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง

เธอเข้าโครงการวิจัยยา Alectinib ซึ่งเป็นยาตัวใหม่ล่าสุดในขณะนั้นที่แทบไม่เคยใช้กับผู้ป่วยในไทย (เพิ่งได้รับการเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกา แต่ที่ไทยในตอนนั้นยังอยู่ระหว่างการรับรองของ อ.ย.) ต้องกินยาตัวดังกล่าววันละ 8 เม็ดทุกวัน กระนั้นเมื่อกินไปได้เพียงสัปดาห์เดียว เธอก็พบว่าผื่นแพ้ขึ้นผิวหนังแทบทุกส่วนในร่างกาย เธอหยุดยาไปหนึ่งเดือน ก่อนจะกลับมากินอีกครั้งในปริมาณที่ลดลง ซึ่งคราวนี้เห็นผล เซลล์มะเร็งเริ่มคลี่คลาย ตั๊กกินยาชนิดนี้ติดต่อกัน 11 เดือน กระทั่งในเดือนที่ 12 ร่างกายก็เกิดอาการดื้อยามุ่งเป้า คราวนี้คุณหมอเลยให้เธอเข้ารับการรักษาแบบเคมีบำบัด เธอทำคีโมอีก 9 ครั้ง… แต่นั่นก็ยังไม่จบ

“ตอนกินยาช่วงแรก เรามุ่งเป้ารักษาเซลล์มะเร็งในปอด ซึ่งก็ยุบไป 70-80% แต่พอในปอดยุบ ปรากฏว่าในตับกลับลามขึ้นมาอีก นั่นก็คือดื้อยา ก็เลยมาทำคีโม หลังทำไป 9 ครั้ง มะเร็งในตับยุบ แต่ในปอดกลับมาลามใหม่อีก”

“เหมือนเรือที่มีรูรั่วเลยค่ะ พออุดจุดนึงได้แล้ว อีกจุดก็กลับมารั่วใหม่ เขาดื้อมากเลย” ตั๊กกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ เธอเปรียบร่างกายเหมือนเรือ และใช้คำว่า ‘เขา’ กับเซลล์มะเร็งประหนึ่งเรียกเพื่อน

หลังจาก Alectinib และคีโมไม่ช่วยอะไรไปมากกว่านี้ ท้ายที่สุดหมอจึงสั่งจ่ายยา Ceritinib ให้เธอ ซึ่งจนถึงทุกวันนี้เธอกินยาตัวนี้ติดต่อกันทุกวันมา 5 เดือนแล้ว แม้เซลล์มะเร็งจะไม่ยุบ หากก็ไม่ลามไปกว่านี้ เธอว่าดีหน่อยก็ตรงที่ ‘พวกเขา’ ยังอนุญาตให้เธอสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข มีเจ็บปวดบ้างเล็กน้อยเป็นครั้งคราว หากทั้งหมดทั้งมวล เธอก็ไม่รู้สึกทรมานกายแต่อย่างใด

ไม่ใช่ต้องคิดบวก แต่เพราะถ้าจมอยู่กับความคิดลบ มันไม่ช่วยอะไร

ตั๊กบอกว่าเธอตระหนักดีว่าเป้าหมายของการรักษาผู้เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอย่างเธอ ไม่ใช่การทำให้หายจากโรค แต่เป็นการควบคุมอาการและยืดระยะเวลาในชีวิตเพื่อใช้มันอย่างมีคุณภาพให้มากที่สุด

“หมอบอกว่ามีคนไข้ที่ต่างประเทศ เขาก็อยู่กับมันได้เป็นสิบๆ ปี แต่ขณะเดียวกันก็มีไม่น้อยที่มีชีวิตอยู่ได้แค่ไม่กี่เดือน” หญิงสาวที่อยู่กับมะเร็งระยะสุดท้ายมาสองปีเศษกล่าว

ย้อนกลับไปในตอนนั้น ตั๊กยอมรับว่าทันทีที่รู้เรื่องนี้ เธอทั้งเครียดและเสียใจ เธอเพิ่งมีอายุได้สามสิบสอง มีแผนการในชีวิตมากมาย โรคร้ายปรากฏอย่างไม่มีเหตุผล เรื่องแบบนี้ไม่ควรจะเกิด

“พอรู้อย่างนั้นก็ตระหนักได้ว่าเรามีลูกไม่ได้แน่นอน เพราะถ้ามีลูกต้องหยุดยา ซึ่งถ้าหยุดยาเซลล์มะเร็งก็อาจลุกลาม ไม่รู้จะรอดถึงเมื่อไหร่ ความคิดเกี่ยวกับชีวิตของเราทั้งหมดเปลี่ยนเลยนะ จากที่คิดว่าเรามีแผนการอีกยาวไกล ยังต้องทำนั่นทำนี่มันหายไปหมด คิดแต่ว่าเราจะอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่ แล้วจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในแบบไหน”

กระนั้นก็ดี แม้ในกายจะแย่ แต่หัวใจของเธอก็ฟื้นกลับมาเข้มแข็งได้เร็วกว่าปกติ อาจจะด้วยกำลังใจจากคนรอบข้าง หรือเพราะเธอเห็นแม่เศร้าซึมจนไม่เป็นอันกินอันนอน เธอจึงต้องสู้เพื่อให้ท่านเห็นว่าเธอไหว สิ่งเหล่านี้ยังส่งผลต่อกรอบคิดในการดำรงชีวิตอย่างมีสติของเธอด้วย

“พอเวลาผ่านไปได้สักพักเราก็นึกถึงความตาย แต่ไม่ใช่ความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากนะ คือเราจะสู้ไปจนสุดทางนั่นแหละ แต่ก็เตรียมใจกับความไม่แน่นอนเอาไว้ คือถ้าพรุ่งนี้ไม่ตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่เป็นไร เพราะเราเตรียมพร้อมไว้หมด เราทำ living will ไว้แล้ว” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม

มีบทเรียนสองสามเรื่องที่เอาเข้าจริงเธอก็ไม่อยากเรียนรู้มันในตอนนี้ แต่ก็โชคชะตาก็ทำให้เธอไม่อาจเลี่ยง

ข้อแรกคือความคิดต่อชีวิต จากผู้หญิงที่บ้างาน เธอและสามีต่างทำงานอย่างหนักจากเช้าจรดค่ำและไม่เคยกินมื้อเย็นด้วยกันในทุกวันทำงาน สองคนต่างหาเงินเป็นบ้าเป็นหลัง โรคร้ายก็กลับทำให้เธอฉุกคิด

“ก็รู้แหละว่าทุกคนต้องตาย แต่ก็ไม่คิดว่าอายุเราแค่นี้ ความตายจะอยู่ใกล้เราขนาดนี้ พอมาเจอโรค เราก็หยุดทุกอย่างและให้ความสำคัญกับเวลาที่เหลือ กับครอบครัว กับคนที่เรารัก ตั้งใจจะใช้มันให้มีคุณภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้”

ส่วนอีกเรื่องคือ ‘การปล่อยวาง’ เธอยอมรับว่าเธอเคยได้แต่ตั้งคำถามว่าทำไมโรคร้ายต้องมาเกิดกับเธอ แต่ท้ายที่สุดเธอก็พบว่านี่คือสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ ในเมื่อเกิดแล้ว ควบคุมไม่ได้ เธอก็ต้องยอมรับ และควบคุมจิตใจเพื่อใช้ชีวิตอยู่กับมันแทน

“นั่งคิดจนคิดได้ว่าไม่มีประโยชน์ที่เราจะจมอยู่กับความทุกข์ ไม่ใช่ว่าเราต้องคิดบวกนะ แต่การจมอยู่กับความคิดแย่ๆ หรือเอาแต่ตั้งคำถาม มันไม่ช่วยอะไร คุณไม่มีทางได้พบคำตอบ เอาเวลาไปใช้ชีวิตที่มีอยู่ให้มีคุณภาพ มีความสุขที่สุดดีกว่า” เธอกล่าว 

            ทุกวันนี้ตั๊กยังใช้ชีวิตได้ปกติสุข แม้ต้องกินยาไม่ให้ขาดและยังต้องรับมือกับผลข้างเคียงของยาอยู่มาก แต่ก็สามารถออกกำลังกายได้ทุกวันเช่นกัน เธอทำเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ALK สเตชั่น’ เผยแพร่ความรู้และประสบการณ์ในการรักษามะเร็งเฉพาะทาง ตั้งใจให้ข้อมูลนี้ช่วยสื่อสารความเข้าใจในกระบวนการรักษา เนื่องจากประสบการณ์ตรงที่ว่าเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เธอจะได้รับคำแนะนำจากคนรอบข้างหลากหลายแนวทาง ซึ่งหลายครั้งเธอก็กลับขัดแย้งกันเอง หรือทำให้เธอสับสนโดยใช่เหตุ

            แม้จะเตรียมใจรับความไม่แน่นอนในชีวิตได้แล้ว หากตั๊กก็ยังตั้งใจจะสู้กับโรคร้ายในร่างกายไปจนสุดทาง เธอเขียนคำนิยามไว้ในแฟนเพจของเธอเอง ‘เมื่อไม่สูบบุหรี่ ไม่มีกรรมพันธุ์ แต่ยังเป็น มะเร็งปอดได้…ชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป!!ซึ่งเธอหมายความตามนั้น พร้อมกันนี้เธอก็ใช้เวลาที่มีร่วมกับคนรัก ยินดีที่ได้แบ่งปัน และทำให้ทุกวันเปี่ยมด้วยความสุขเท่าที่จะเป็นไปได้

ติดตามการต่อสู้มะเร็งของตั๊กได้ที่ https://www.facebook.com/ALKstation/

หมายเหตุ: อรสิรีได้จากไปอย่างสงบในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563


เรื่อง: จิรัฏฐ์​ ประเสริฐทรัพย์
ภาพ: นวลตา วงศ์เจริญ
ภาพบางส่วน: อรสิรี ตั้งสัจจธรรม