ฐิตารีย์ มโนสิทธิศักดิ์ ว่าด้วยเรื่องชีวิต ความคิด และความกลัว

คุณกลัวอะไรที่สุดในชีวิต?

เชื่อว่าภายใต้ความหลากหลายของคำตอบนั้น ล้วนมี ‘ความไม่รู้’ เป็นต้นตออยู่แทบทั้งสิ้น นั่นอาจจะพูดได้ว่า ความกลัวที่เกิดขึ้นนั้นก็คือปฏิกิริยาตอบสนองของมนุษย์ที่มีต่อความไม่รู้ ซึ่งข้อดีของความกลัวก็คือช่วยกระตุ้นให้เราทุกคนรู้จักระแวดระวังตัว ไม่ประมาท กระทั่งหาวิธีป้องกันไว้ก่อน แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับระดับความกลัวของแต่ละคน เพราะหากความกลัวมากเกินไปจนไร้ซึ่งสติ ความกลัวนั้นย่อมไม่มีผลดีใดๆ เลย ตรงกันข้ามอาจจะนำผลร้ายมาสู่ตัวเราได้ เช่นเดียวกับคนที่ไม่มีความกลัวเลย–ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนกล้าหาญ แต่อาจจะเป็นแค่ ‘คนประมาท’ คนหนึ่ง และเมื่อเกิดภัยใดๆ ขึ้นก็อาจจะไม่สามารถปกป้องหรือเอาตัวรอดได้ ฉะนั้น อย่าเขินอายที่จะ ‘กลัว’ เพราะความกลัวเป็นเรื่องธรรมดาของคนเรา แค่ยอมรับและเอาชนะความกลัวนั้นซะ ซึ่งอาวุธเดียวที่จะเอาชนะความกลัวได้ก็คือ ความรู้เท่าทัน 

กุ้ง-ฐิตารีย์ มโนสิทธิศักดิ์ คุณแม่วัย 50 กะรัตของลูกสาวสามคน พร้อมพ่วงตำแหน่งคุณยายหน้าใสของหลานสาวตัวน้อยอีกสอง อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด HER2 positive ระยะ 3 ที่เคยกลัวมะเร็งมาตั้งแต่จำความได้ แต่เมื่อเธอมาอยู่ในสถานะผู้ป่วยมะเร็ง เธอกลับได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการเป็นมะเร็งนั้น ไม่ใช่ตัวโรคหรือผลข้างเคียงจากการรักษา แต่เป็น ‘ความกลัว’ ของตัวผู้ป่วยเองต่างหาก นั่นเองเป็นที่มาที่ทำให้หลังจบการรักษา เธอตัดสินใจอุทิศแรงกาย แรงใจ และเวลาส่วนหนึ่งในชีวิตเป็น ‘จิตอาสา’ เพื่อช่วยเหลือและส่งต่อพลังบวกไปยังผู้ป่วยมะเร็งเท่าที่กำลังจะมี

“ทัศนคติที่ดีเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง เพราะเราเชื่อว่าผู้ป่วยเกือบทุกคน พอรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ไม่มีใครไม่กลัว ลึกๆ ทุกคนก็กลัวกันทั้งนั้น เพียงแต่ความกลัวจะอยู่กับเราสั้นหรือยาว ก็ขึ้นอยู่ที่สติของแต่ละคน ถ้าตั้งสติได้เร็ว เดินหน้ารักษาตัวต่อได้ไว แน่นอนว่าก็จะดีกับตัวผู้ป่วยเอง เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เคยกลัว แต่ไม่ใช่ความกลัวตาย เป็นความกลัวการทรมานจากการรักษามากกว่า เนื่องจากเราไม่มีความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเท่าที่ควร และจากประสบการณ์ที่เคยเห็น ‘คุณป้า’ ที่เลี้ยงเรามาป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม ระหว่างการรักษา เรารับรู้ได้ว่าท่านทรมานมาก ทั้งต้องตัดเต้านมทิ้ง พอให้คีโม ผมของท่านก็ร่วง มีอาการเบื่ออาหาร อาเจียน กินอะไรไม่ได้ กระทั่งฉายแสง ผิวหนังก็เกิดอาการไหม้ หลุดลอก และไม่นานท่านก็จากไป นั่นกลายเป็นความเชื่อฝังหัวมาตลอดว่า ถ้าใครเป็นมะเร็ง…ต้องตายแน่นอน ซึ่งทั้งหมดเป็นความกลัวที่มาจากความไม่รู้” 

บทเรียนราคาแพง

“ย้อนหลังกลับไปตอนอายุ 26 ปี ตอนนั้นเราตรวจพบเนื้องอกในมดลูก เป็นเหตุให้ต้องผ่าตัดมดลูกทิ้ง ก่อนจะตรวจติดตาม ‘เต้านม’ และ ‘รังไข่’ เรื่อยมาเป็นประจำทุกปี ไม่เคยขาดมากว่า 22 ปี จนกระทั่งในเดือนพฤษภาคม ปี 2565 เรามีอาการเจ็บที่บริเวณใต้รักแร้ แต่ตอนนั้นคิดไปเองว่า น่าจะมาจากการดูแลคุณแม่สามีที่ป่วยติดเตียง เพราะเราต้องคอยพลิกตัวท่านไปมาเป็นประจำ จึงไม่ได้เอะใจอะไร บวกกับเราเพิ่งผ่านการตรวจเต้านมกับคุณหมอสูติฯ ไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2564 จึงคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรร้ายแรงได้ แต่ปรากฏว่าเวลาผ่านไปไม่นาน รักแร้เริ่มบวมขึ้น จึงตัดสินใจไปหาคุณหมอสูติฯ ที่ตรวจภายในและเต้านมให้ประจำ 

“พอคุณหมอตรวจคลำหน้าอกดู แต่ไม่เจออะไรผิดปกติ จึงสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นอาการต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้อักเสบ และคุณหมอก็นัดติดตามผลอีกครั้งในเดือนสิงหาคม แต่ด้วยความกังวลใจ เราจึงขอนัดหมายตรวจเต้านมกับคุณหมอเฉพาะทางที่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง ก็คือโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ซึ่งได้คิวเร็วสุดคือ 1 กันยายน 2565 หรืออีก 3 เดือนถัดมา 

“พอถึงวันนัด คุณหมอก็ส่งให้ไปแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ ตอนนั้นเริ่มรู้แล้วว่า น่าจะมีอะไรผิดปกติแน่ๆ เพราะคุณหมออัลตราซาวนด์ที่ใต้รักแร้นานเป็นพิเศษ หลังจากตรวจเสร็จ 1 ชั่วโมง คุณหมอก็เรียกฟังผล โดยบอกสั้นๆ ว่า พบก้อนที่เต้านมและใต้รักแร้ จากนั้นก็แนะนำให้เจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ  

“ด้วยความที่เราเคยมีประวัติเป็นเนื้องอกมาก่อน ทำให้ประกันสุขภาพในตอนนั้นไม่ครอบคลุมค่ารักษา ‘เนื้องอก’ จึงปรึกษาคุณหมอขอไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลศิริราช ฝั่งรัฐบาล เพื่อประหยัดค่ารักษาพยาบาล ซึ่งคุณหมอก็ใจดีมาก ส่งตัวและนัดคิวให้เจาะชิ้นเนื้อภายในสัปดาห์นั้นเสร็จสรรพ

“หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็นัดให้มารับผลการตรวจซึ่งเป็นเอกสาร ก่อนจะถึงวันนัดฟังผลกับคุณหมออีกครั้ง หลังจากได้เอกสารมา พอเราเห็นค่า BIRAD 5 ก็ค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ทำให้พอรู้แล้วว่าตัวเองคงเป็นมะเร็งแน่นอน กระทั่งถึงวันที่คุณหมอนัด ผลก็เป็นไปตามคาด คือเราเป็นมะเร็งเต้านม ระยะ 3 แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง ที่สำคัญยังเป็นมะเร็งพันธุ์ดุ ชนิด HER2 positive แบบไม่มีตัวรับฮอร์โมน

“ตอนนั้นเกิดคำถามขึ้นมาว่า ตัวเองเป็นมะเร็งเต้านมได้อย่างไร เพราะตลอดกว่า 22 ปี เราตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์เต้านม รวมถึงตรวจภายใน เราไปตามนัดไม่เคยขาด หากเป็นมะเร็ง ทำไมไม่พบในระยะต้นๆ แต่ด้วยความที่เราไม่ได้ไปหาหมอเฉพาะทางด้านเต้านม แต่เป็นการให้คุณหมออ่านผลจากการทำแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์เท่านั้น จึงอาจจะเป็นสาเหตุทำให้ไม่พบความผิดปกติใดๆ และด้วยความดุของมะเร็งชนิด HER2 ทำให้ทุกอย่างลุกลามไปอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงช่วงระหว่างปีของการรอตรวจ”

หาความรู้สู้ความกลัว

“หลังออกจากห้องคุณหมอในวันนั้น เราก็โทรบอกลูกสาวและสามีทันที จำได้ว่าลูกๆ ต่างตกใจและร้องไห้กันใหญ่ ส่วนสามีก็พยายามบอกเราว่า ไม่เป็นไร เป็น…ก็รักษาไป ไม่ต้องกลัวนะ แต่ลึกๆ ก็คิดว่าเขาน่าจะเครียดอยู่พอสมควร หลังกลับถึงบ้าน ลูกสาวทั้งสามคนก็มารวมตัวแล้วช่วยกันเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็ง โดยเข้าเพจและกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวกับมะเร็ง ทำให้เราได้รู้จักกับ Art for Cancer เป็นครั้งแรก และเป็นจุดเริ่มต้นของความเข้าใจในโรคมะเร็งมากขึ้น ยิ่งเรามีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น ความกลัวก็ยิ่งน้อยลง นั่นเองที่ทำให้สติเริ่มกลับมาและพร้อมรับมือกับโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี 

“ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เพราะนอกจากกำลังใจทั้งจากครอบครัวและคนที่รักมอบให้อย่างมหาศาลแล้ว เรายังรู้สึกว่า เรายังมีโอกาสที่ดีในการรักษา ได้เจอคุณหมอที่ดี ไม่ว่าจะเป็นคุณหมอศัลยกรรม คุณหมอคีโม คุณหมอฉายแสง ฯลฯ แม้จะเป็นโรงพยาบาลรัฐ แต่การรักษาทุกอย่างดำเนินไปค่อนข้างรวดเร็ว เพราะพอรู้ผลว่าเป็นมะเร็งในวันที่ 1 กันยายน 2565 แล้ว เราก็เริ่มให้คีโม 4 เข็ม พร้อมยามุ่งเป้า 4 เข็ม ในเดือนตุลาคม 2565 และโชคดีมากที่สุดตรงที่มะเร็งตอบสนองกับยา หลังให้คีโมครบ 4 เข็ม ก้อนก็หายไปจนหมด จากเดิมที่คุณหมอขอผ่าตัดเต้านมออกทั้งสองเต้า ก็เปลี่ยนแผนมาเป็น ‘การผ่าตัดแบบสงวนเต้า’ และเลาะต่อมน้ำเหลืองออกไป 7 ต่อมเท่านั้นในเดือนมกราคม 2566 

“หลังผ่าตัดแล้ว พักฟื้นไม่ถึง 2 สัปดาห์ ก็เข้าสู่การให้คีโมต่ออีก 4 เข็ม พร้อมด้วยยามุ่งเป้าต่อเนื่องอีก 14 เข็ม ก่อนจะฉายแสงอีก 33 แสง เรียกได้ว่าเต็มแมกซ์ทุกขั้นตอน รวมระยะเวลารักษาตัวไปกว่า 1 ปีครึ่ง โดยจบการรักษาไปเมื่อเดือนมีนาคม 2567 แต่กว่าจะจบได้ ก็เกือบแย่เหมือนกัน” 

ระหว่างทางการรักษา

“ด้วยความที่เรารู้อยู่แล้วว่า กระบวนการในการรักษามะเร็งนั้นค่อนข้างหิน พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เราก็พยายามบำรุงร่างกายให้พร้อมกับการรักษาทุกทาง กินทุกอย่าง โดยเฉพาะไข่ขาว รวมถึงเสริมด้วยโปรตีนทางการแพทย์ ทำให้การให้คีโมเข็มแรกนั้นแทบไม่มีอาการแพ้ใดๆ เลย นอกจากภูมิคุ้มกันที่ต่ำลง และนั่นทำให้สัปดาห์แรกหลังจากให้คีโมมาก็ติดโควิดทันที แต่โชคดีที่กินยาแก้ไข้แค่เม็ดเดียว จากนั้นก็หมั่นเช็ดตัวบ่อยๆ จนหายเป็นปกติได้ภายใน 1 สัปดาห์ และสามารถให้คีโมเข็มที่ 2 ต่อได้เลย หลังจากนั้นก็ผ่านคีโมสูตรน้ำขาว 4 เข็มแรก พร้อมยามุ่งเป้ามาอย่างราบรื่น 

“พอให้คีโมครบ 4 เข็มแล้ว คุณหมอก็นัดผ่าตัดแบบสงวนเต้า และพักฟื้นประมาณ 2 สัปดาห์ จากนั้นก็เริ่มให้คีโมเข็มที่ 5 ต่อ โดยรอบนี้เป็นคีโมสูตรน้ำแดง พอครบ 8 เข็มแล้ว คุณหมอก็ให้ฉายแสงต่ออีก 33 แสง พร้อมด้วยยามุ่งเป้าต่อจนครบ 14 เข็ม และด้วยความที่เราเป็นมะเร็งเต้านมด้านซ้ายและการให้ยามุ่งเป้านั้นมีผลข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อหัวใจอยู่แล้ว จึงจำเป็นต้องฉายแสงแบบ ‘กลั้นหายใจ’ จะได้ลดผลข้างเคียงต่อหัวใจลง 

“ระหว่างการฉายแสงนั้น เราก็คิดว่าตัวเองแข็งแรงดีเพราะน้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่า 10 กิโลกรัม กินได้ทุกอย่าง นอกจากผมร่วงและมีอาการตากุ้งยิงจากอาการแพ้คีโมแล้ว อาการข้างเคียงอื่นๆ ก็แทบไม่มี ทำให้ใช้ชีวิตได้ปกติ ไม่เหมือนคนป่วย แต่ด้วยความที่มะเร็งลามไปยังต่อมน้ำเหลืองแล้ว จำเป็นต้องฉายแสงครอบคลุมมาถึงคอ ซึ่งผลจากการรักษาทำให้หลอดอาหารตีบลง และเจ้าหน้าที่ฉายแสงก็จะเตือนเราทุกครั้งว่า เวลากินข้าวให้เคี้ยวช้าๆ นะคะ เพราะหลอดอาหารจะตีบลงนะคะ แต่ทุกครั้งที่ผ่านมาก็ไม่มีอาการใดๆ สามารถกินอาหาร กินยาได้ตามปกติ จนกระทั่งฉายแสงมาจนครั้งที่ 30 วันนั้นเราก็กินยาตามปกติเหมือนทุกวัน แต่วันนั้นดันกลืนไม่ลง เหมือนยาเข้าไปขวางหลอดลมพอดี โชคดีมากที่วันนั้นสามีอยู่บ้าน เราก็รีบเดินไปหาและชี้ที่คอ เพื่อบอกเขาว่า ยาติดคอและหายใจไม่ออก 

“พอสามีรู้ก็ทำการ ‘รัดท้องอัดยอดอก’ เพื่อจะให้ยาหลุดออกมาจากหลอดลม ทำไปราว 3 ครั้ง ยาก็ยังไม่หลุด จนหน้าเราเริ่มเขียวเพราะขาดอากาศหายใจ สามีตัดสินใจอัดครั้งสุดท้ายอย่างแรง จนยาหลุดออกมา เราสามารถหายใจได้ แต่ปรากฏว่าซี่โครงเราหักไป 2 ซี่ โชคดีมากที่ซี่โครงไม่หักไปทิ่มอวัยวะอื่นๆ ซึ่งคุณหมอก็บอกว่า ทำถูกแล้ว เพราะหากนำส่งโรงพยาบาลก็คงไม่ทัน ตอนนั้นต้องใช้เวลาในการรักษาตัวไปราว 3 เดือน กว่ากระดูกซี่โครงจะประสานกันสนิท 

“หลังจบการรักษา เราก็เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่หมด พยายามดูแลตัวเองมากขึ้น โดยมีลูกๆ เป็นผู้ช่วย เช่น ตั้งนาฬิกา 4 ทุ่มปุ้บ! ต้องเข้านอน ส่วนเรื่องอาหารก็เปลี่ยนมาเป็นกินข้าวกล้อง หลีกเลี่ยงของทอด ของมัน ของปิ้งย่าง เน้นกินโปรตีนให้ถึง ซึ่งทั้งหมดนี้เราได้มาจากการหาข้อมูลจากผู้รู้ คุณหมอ อดีตผู้ป่วย และแหล่งความรู้ที่น่าเชื่อถือในโซเชียลตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าเป็นมะเร็ง ทำให้มีความรู้มากขึ้น ความกลัวลดลง และมีสติพร้อมรับมือกับโรคมะเร็งและอาการต่างๆ ที่เข้ามา สำคัญที่สุดก็คือเรารู้แล้วว่า มะเร็งก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด จากเดิมที่มีความเชื่อฝังหัวว่า มะเร็งคือโรคร้าย ใครเป็นมะเร็งก็เท่ากับตาย แต่วันนี้ไม่ใช่อีกแล้ว มะเร็งก็แค่โรคโรคหนึ่งที่รักษาได้ แค่เราต้องยอมรับความจริงให้ได้ ตั้งสติให้ไว ดำเนินการรักษาไปให้ถูกทาง และอย่ายอมแพ้”

พรุ่งนี้อาจไม่มีอยู่จริง

“หากย้อนหลังกลับไปตอนอายุ 18 ปี เคยมีหมอดูทักว่า เราจะเป็นมะเร็งเกี่ยวกับเพศหญิง ด้วยความเป็นเด็กในตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งอายุ 25 ปี ก็มีหมอดูมาทักอีกว่า เราจะเป็นมะเร็ง ซึ่งตอนนั้นผ่านการผ่าตัดมดลูกออกแล้ว จึงคิดว่าคงไม่เป็นแล้วมั้ง พออายุ 32 ปี ก็มีหมอดูมาดูฮวงจุ้ยที่บริษัทและเดินมาที่โต๊ะ ก่อนจะทักว่า คนที่นั่งโต๊ะนี้จะเป็นมะเร็งนะ ตอนนั้นเริ่มคิดหนักถึงขั้นบินไปฮ่องกงเพื่อแก้ดวง แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น พออายุ 48 ปี ก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งอยู่ดี ตั้งแต่นั้นมาเราก็เชื่อเสมอว่า โลกนี้ไม่มีเหตุบังเอิญ ทุกอย่างคงถูกกำหนดมาแล้ว และเราทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะนำพาเราไปเจอกับอะไรบ้าง แต่เราล้วนเลือกที่จะมี ‘มุมมอง’ ต่อสิ่งที่เจอได้

“นั่นเองที่ทำให้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต เราจะไม่มองสิ่งที่เสียไป แต่เราจะมองสิ่งที่ยังมีอยู่ ทำให้พอรู้ว่าเป็นมะเร็ง เราจึงไม่มัวฟูมฟายว่าจะมีชีวิตอยู่อีกเท่าไร แต่เราหันมาโฟกัสถึงการใช้ทุกวินาทีที่มีอยู่อย่างมีคุณค่า ใช้ชีวิตในแต่ละวันเสมือนเป็นวันสุดท้าย เพราะเรารู้แล้วว่า ชีวิตเรานี้ไม่ได้มีวันพรุ่งนี้เสมอไป…” 

___

เรื่อง : เพชรภี ปิ่นแก้ว
ภาพ : วุฒินันท์ จันโทริ

ภัทรวรรณ สุขวิบูลย์ สู่ฉันคนใหม่ในโลกใบเดิม

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกการเดินทางจะสวยงามและราบรื่นไปเสียหมด บางการเดินทางก็น่าเบื่อหน่าย บางการเดินทางก็เต็มไปด้วยอุปสรรค แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่นักเดินทางจะนำมาเป็นข้ออ้างเพื่อหยุดอยู่กับที่ ก็คงเหมือนกับทุกอย่างในชีวิตคนเราที่ล้วนมีสองด้านเสมอ ทั้งด้านดีและด้านร้าย แต่ถึงที่สุดแล้วเราทุกคนต่างมีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะรับหรือไม่รับอะไร จมดิ่ง หรือปล่อยวางและเดินต่อไปข้างหน้า หากมองในแง่ดี หลายครั้งสิ่งเลวร้ายในชีวิตเราก็ให้แง่คิด สร้างบทเรียน กระทั่งทิ้งประสบการณ์ที่มีคุณค่าไว้ให้ชีวิตเราได้เหมือนกัน   

แพรว-ภัทรวรรณ สุขวิบูลย์ กราฟิกดีไซเนอร์และวิดีโอ อิดิเตอร์ แห่งเปเปอร์มอร์ อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด HER2 positive ระยะ 1 วัยเพียง 32 ปี ที่ผ่านการผจญภัยไปในโลกมะเร็งอยู่หลายครั้งหลายครา ครั้งแรกในสถานะหลานสาวที่อาสาพาคุณป้าที่ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองไปให้เคมีบำบัด ครั้งที่สองในบทบาทของผู้ดูแลคุณพ่อที่ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย และครั้งที่สามกับการเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมอย่างเป็นทางการหมาดๆ เมื่อปีที่ผ่านมา ทั้งยังพ่วงท้ายตำแหน่งผู้ (ป่วย) ดูแลคุณแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมตามมาติดๆ 

“ใครที่รู้เรื่องราวของแพรวมาตั้งแต่ต้น ก็มักถามด้วยคำถามคล้ายๆ กันว่า โรคมะเร็งมันติดต่อกันได้หรือเปล่าเนี่ย!?! เพราะดูเหมือนชีวิตแพรวจะแวดล้อมไปด้วยบรรดาผู้ป่วยมะเร็ง ยิ่งช่วงที่เรากำลังให้เคมีบำบัดและร่างกายกำลังล้ามากๆ คุณแม่ก็มาตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมอีกคน นั่นเป็นเหตุผลให้เราต้องมองหาแม่บ้านเข้ามาช่วยดูแล ปรากฏว่าญาติก็แนะนำพี่แม่บ้านคนหนึ่งมาให้ ถามไปถามมาปรากฏว่าพี่แม่บ้านคนนั้นก็เป็นอดีตผู้ป่วยมะเร็งลำไส้อีก (หัวเราะ)” 

มะเร็งของพ่อ

“ย้อนหลังไปเมื่อ 6 ปีก่อน คุณพ่อของแพรวตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งลำไส้ระยะ 4 ช่วงนั้นแพรวเพิ่งเริ่มทำงานประจำได้ไม่นาน พอรู้ว่าคุณพ่อเป็นมะเร็ง เราก็ตัดสินใจยื่นจดหมายลาออก เนื่องจากตอนนั้นคุณหมอวินิจฉัยมาแล้วว่า คุณพ่อจะอยู่กับเราได้อีกไม่เกิน 1 เดือน จากนั้นก็มุ่งมั่นตั้งใจทำทุกอย่างเสมือนเป็นพยาบาลท่านหนึ่ง ดูแลตั้งแต่การออกไปตลาดในตอนเช้าเพื่อหาวัตถุดิบมาทำอาหารที่ดีที่สุดให้พ่อ ทำความสะอาดร่างกาย ทำแผล เปลี่ยนถุงหน้าท้อง ฯลฯ โดยหวังลึกๆ ว่า เราจะช่วยให้พ่อเอาชนะโรคนี้ให้ได้ จึงทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ที่สุด กระทั่งท่านจากไปในอีก 6 เดือนถัดมา ซึ่งนับเป็น 6 เดือนที่มีค่าที่สุดในชีวิตของแพรว และทุกครั้งที่เราย้อนมองกลับไป แพรวไม่เคยเสียใจหรือเสียดายอะไรเลย เพราะเราทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถเท่าที่ลูกคนหนึ่งจะทำได้แล้ว มันเป็นการจากไปที่งดงามที่สุดแล้ว และไม่มีห่วงกังวลใดๆ ต่อกันแล้ว 

“หลังงานศพของคุณพ่อเสร็จสิ้น วันหนึ่งเราก็เข้าไปเก็บกวาดทำความสะอาดในห้องท่าน และพบว่ามีหนังสือเกี่ยวกับวิธีต้านมะเร็งอยู่จำนวนหนึ่ง นั่นทำให้เรารู้ว่าคุณพ่อน่าจะรู้ตัวมาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ด้วยชุดความคิดความเชื่อแบบเก่าๆ ทำให้เขากลัวที่จะไปรักษาตัว จึงปล่อยไว้จนโรคดำเนินมาถึงระยะท้ายๆ ที่ไม่มีโอกาสรักษาแล้ว และเมื่อย้อนคิดกลับไป เราจะพบว่าหลายครั้งคุณพ่อได้ส่งสัญญาณผ่านคีย์เวิร์ดบางอย่าง เช่น บอกให้เราไปเรียนวิชาป้องกันตัว เนื่องจากตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าแพรวจะไปไหนมาไหน คุณพ่อก็จะคอยไปรับไปส่งด้วยความห่วงเสมอ ซึ่งตอนนั้นท่านคงรู้ตัวว่าจะอยู่กับเราได้ไม่นานแล้ว จึงอยากให้มีวิชาป้องกันตัวเอาไว้”

อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจผล

“แพรวไม่แน่ใจว่ามันเป็นความกลัวหรือแค่กังวลกันแน่ แต่หลังจากรู้ว่าคุณพ่อเป็นมะเร็ง ก็ทำให้เรานึกถึงสุขภาพตัวเองขึ้นมาและอยากลองตรวจสุขภาพดูบ้าง จากเมื่อก่อนแทบไม่ได้อยู่ในความคิดเราเลย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับเพื่อนสนิทคุณแม่แนะนำสถาบันมะเร็งแห่งชาติมาให้ เพราะเขาตรวจสุขภาพที่นี่เป็นประจำ และการตรวจสุขภาพครั้งนั้นก็ทำให้เราพบก้อนที่เต้านมด้านขวาจากการคลำด้วยมือของคุณหมอ ก่อนจะตรวจซ้ำด้วยการอัลตราซาวนด์อีกครั้ง แต่ผลการตรวจยังอยู่ในระดับไม่น่าเป็นห่วง คุณหมอจึงนัดติดตามผล 

“ปีแรกผลก็ยังปกติดี พอปีที่ 2 ก็พบว่าก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้น และผล BIRADS4 คุณหมอจึงแนะนำให้เจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ แต่ก็ยังไม่พบเชื้อมะเร็ง จึงนัดติดตามผลเรื่อยมา จนกระทั่งปีที่ 3 ขนาดก้อนก็ยังคงใหญ่ขึ้นไม่หยุด ตอนนั้นคุณหมอก็ยังบอกว่าไม่น่าจะเป็นอะไรร้ายแรง เพราะเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจแล้ว แต่อย่างที่รู้กันดีว่า การเจาะชิ้นเนื้อก็เป็นการสุ่มตรวจ เราจึงเริ่มเป็นกังวล และบางทีเราก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่หน้าอกอยู่เป็นระยะ จึงขอร้องคุณหมอให้ผ่าตัดเอาก้อนนี้ออกไป ซึ่งคุณหมอก็นัดผ่าตัดในอีกหนึ่งเดือนถัดมา แต่เป็นแค่การผ่าตัดเล็กและจะนำก้อนที่ผ่าออกมาส่งตรวจอีกรอบเพื่อความมั่นใจ 

“หลังผ่าตัดเราก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ วันหนึ่งก็มีคนเอามะพร้าวมาฝาก เราก็หยิบขึ้นมาเฉาะโดยลืมไปว่าแผลที่ผ่าตัดยังไม่สมานดี นั่นเป็นเหตุให้เลือดไหลออกจากแผลผ่าตัด ทำให้ต้องรีบกลับไปหาคุณหมออีกครั้ง และปรากฏว่าผลตรวจก้อนนั้นส่งมาถึงคุณหมอพอดี จึงทำให้รู้ว่าตัวเองเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านม HER2 แบบไม่ทันตั้งตัว”

ขอเที่ยวก่อนได้ไหม?

“เป็นความรู้สึกช็อกในช็อกก็ว่าได้ ด้วยความที่เราไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเป็น และก่อนหน้านั้นก็จองตั๋วไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์จิบลิ (Ghibli Museum) ที่ประเทศญี่ปุ่นกับเพื่อนสนิทเป็นที่เรียบร้อย ตั๋วพร้อม ที่พักพร้อม เพื่อนพร้อม ทุกอย่างพร้อมหมด ยกเว้นตัวเรา และความที่อยากไปมาก ถึงขั้นไปขอหมอว่า ‘ขอไปเที่ยวก่อนได้ไหม ค่อยกลับมารักษาได้ไหมคุณหมอ’ แน่นอนว่าคุณหมอไม่อนุญาต (หัวเราะ)

“หลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์เราก็เข้าสู่กระบวนการรักษา โดยคุณหมอให้ตัวเลือกมา 3 ตัวเลือก คือ 1) ผ่าตัดสงวนเต้า 2) ผ่าตัดออกทั้งหมด และ 3) ผ่าตัดทั้งหมดแล้วเสริมเต้า เราก็ตัดสินใจเลือกข้อแรก เพราะคิดว่าน่าจะรักษาคุณภาพชีวิตและความมั่นใจไว้กับเราได้มากที่สุด จากนั้นก็มุ่งมั่นเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมด โดยมี ‘พี่ออย’ (ไอรีล ไตรสารศรี) ผู้ก่อตั้งโครงการอาร์ต ฟอร์ แคนเซอร์ บาย ไอรีล (Art for Cancer by Ireal) เป็นแรงบันดาลใจ โดยเราจะคิดเสมอว่า ขนาดพี่ออยเป็นระยะ 4 แล้วยังสู้เลย เราก็ต้องสู้ดิ! จากนั้นเราก็เดินหน้าลุยเลย” 

วาเลนไทน์กับชายปริศนา

“เนื่องจากการผ่าตัดครั้งแรกเป็นการผ่าตัดเล็กที่ยังไม่รู้ว่าเป็นมะเร็ง จึงทำให้คุณหมอต้องนัดผ่าตัดในครั้งที่สองและฉีดสีในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อตรวจดูการลุกลามของมะเร็ง ซึ่งบอกตามตรงว่ากลัวมาก เพราะเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องวางยาสลบ  พอเข้าห้องผ่าตัด ทางวิสัญญีแพทย์ก็เข้ามาคุยด้วย ‘จะใส่ท่อช่วยหายใจแล้วนะ’ ตอนนั้นเราก็ยิ้มแห้งๆ หัวใจก็เริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนคุณหมอแซวว่า ‘แหม หัวใจเต้นแรงจังเลย’ จากนั้นจอก็ดับไปเลย ไม่รู้สึกตัวอะไรอีกแล้ว  

“ก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในทุ่งดอกไม้กับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ความรู้สึกตอนนั้นมีความสุขแบบบอกไม่ถูก และภาพสวนดอกไม้ก็สวยงามตราตรึงจนเราอยากอยู่ตรงนั้นไปตลอดกาลเลย จนกระทั่งได้ยินเสียงพยาบาลมาปลุก ผู้ชายคนนั้นก็รีบปล่อยมือเราทันที และเหมือนจะบอกกับเราว่าให้กลับไป ทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมา รอบเตียงก็ห้อมล้อมไปด้วยนางพยาบาลหลายคนมาก จากนั้นก็ตบมือให้เราแล้วพูดขึ้นพร้อมกันว่า ‘โอ้โห ภัทรวรรณเก่งมากเลย ฟื้นตัวเร็วมาก’ 

“หลังจากตั้งสติได้ สิ่งแรกที่เรามองหาก็คือ ‘สายเดรน’ เพราะก่อนจะผ่าตัดคุณหมอจะบอกล่วงหน้าแล้วว่า ถ้าตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองมีสายเดรนติดอยู่ นั่นหมายถึงมะเร็งได้ลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองแล้วนะ ปรากฏว่าไม่มี ตอนนั้นดีใจมาก เรียกว่าเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ที่ดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้  

“สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นคำถามค้างคาใจจนถึงทุกวันนี้ก็คือ ผู้ชายในสวนดอกไม้นั้น…ใช่คุณพ่อของเราหรือเปล่า ไม่มีใครตอบเราได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือแพรวกลายเป็นคนที่เชื่อในเรื่องโลกหลังความตายอย่างสนิทใจ และคิดเสมอว่าเราได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง โดยนับจากนี้ไปเราจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ ไม่กลับไปวนลูปกับไลฟ์สไตล์เดิมๆ ที่เสี่ยงจะทำให้มะเร็งกลับมา ที่สำคัญยังไม่ลืมที่จะขอบคุณมะพร้าวลูกนั้น ที่ทำให้เรารู้ว่าตัวเราเป็นมะเร็งก่อนกำหนด (หัวเราะ)”

‘ทัพพี’ สีสันในก๊วนสามแม่ครัว 

“หลังพักฟื้นอยู่ประมาณ 1 เดือน ก็เข้าสู่กระบวนการให้เคมีบำบัด โดยแบ่งเป็นสูตรน้ำแดง 4 เข็ม ทุก 3 สัปดาห์ และต่อด้วยสูตรน้ำขาวอีก 12 เข็ม ทุกสัปดาห์ จากนั้นจึงจะเข้าสู่การให้ยามุ่งเป้า 17 เข็ม ทุก 3 สัปดาห์ และฉายแสง 24 แสง ทุกวัน เป็นอันจบการรักษา 

“ระหว่างที่รักษามาจนถึงเคมีบำบัดสูตรน้ำขาวประมาณเข็มที่ 6 คุณแม่ก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมอีกคน กลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรุ่นน้องเรา (หัวเราะ) แต่โชคดีมากที่ไม่ใช่สายพันธุ์ดุอย่าง HER2 และยังอยู่ในระยะ 1 แต่คุณแม่ก็ตัดสินใจผ่าตัดเต้านมด้านซ้ายยกเต้าเพื่อปิดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ และรับยาเคมีบำบัดต่ออีก 4 เข็ม ก่อนจะกินยาต้านฮอร์โมนต่ออีก 5 ปี  

“นับเป็นช่วงชีวิตที่ความทุกข์ถาโถมเข้ามาแบบไม่พัก แต่เราก็พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่กำลังเรามี จำได้ว่าพอรู้ว่าแม่เป็นมะเร็ง แทนที่จะนั่งทุกข์อยู่บ้านรอการรักษากันสองแม่ลูก เราก็ออกไอเดียพาแม่ไปล่องแพที่กาญจนบุรีกับเพื่อนๆ คุณแม่รวม 5 คน กระโดดน้ำเล่นกันอย่างไม่แคร์วิกผม หัวเราะดังๆ ให้กับโรคมะเร็ง ก่อนจะกลับเข้าสู่กระบวนการรักษาพร้อมรอยยิ้ม และตั้งแต่นั้นมาแพรวก็กลายเป็นหนึ่งในก๊วน ‘สามแม่ครัว’ แก๊งสาวๆ วัย 67 ปี ที่มีแม่และเพื่อนแม่อีกสองคนเป็นสมาชิก พอมีเราแทรกตัวเข้ามา ก๊วนนี้ก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น ‘สามแม่ครัวกับหนึ่งทัพพี’ ชวนกันกิน เที่ยว และทำกิจกรรมสนุกๆ จนถึงทุกวันนี้”

กิน-กาย-ใจ

“ตั้งแต่เริ่มรักษาจนถึงทุกวันนี้ แพรวจะให้ความสำคัญกับ 3 สิ่ง คือ กิน กาย และจิตใจ การกิน ก็จะเน้นอาหารกลุ่มโฮลฟู้ดส์ (Whole foods) และแพลนต์เบส (Plant-based food) เน้นวัตถุดิบสด สะอาด และธรรมชาติ ไม่ผ่านกระบวนการทางการปรุงอะไรมาก ขณะที่โปรตีนก็จะเน้นแค่เนื้อขาว เช่น ปลา ไก่ ไข่ต้ม ฯลฯ เป็นหลัก และเลี่ยงอาหารทอด อาหารมัน ซึ่งพอกินไปได้สักระยะ ร่างกายเราก็จะเรียนรู้ พอเจอของทอด ของมัน ก็เริ่มไม่อยากกินแล้ว นอกจากนี้ก็จะเสริมอาหารทางการแพทย์บ้าง เช่น โปรตีนจากพืช เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเป็นระยะ เพื่อช่วยบรรเทาอาการเบื่ออาหาร ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงที่ผู้ป่วยทุกคนต้องเจออยู่แล้ว และหน้าที่เราก็คือกินให้ได้มากที่สุด ซึ่งช่วงนั้นก็จะมีเครื่องปั่นอาหารคู่กาย เอาไว้ปั่นผักผสมโปรตีนกิน เพื่อจะได้กลืนง่าย ย่อยง่าย ถ่ายคล่อง 

“ส่วน เรื่องร่างกาย นอกจากเรื่องการนอนเร็วขึ้น ก็ยังเพิ่มเวลานอนระหว่างวัน รวมถึงพยายามให้ร่างกายขับถ่ายของเสียออกไปให้ได้มากที่สุด โดยการกินอาหารที่มีกากใย จิบน้ำบ่อยๆ จะได้ย่อยง่าย ถ่ายคล่อง เพื่อช่วยให้ตับไม่ต้องมาทำงานหนัก และพยายามเข้าหาธรรมชาติให้มากที่สุด เช่น รับแสงแดดตอนเช้า ฯลฯ

“สุดท้ายเป็น เรื่องจิตใจ เพราะถึงกายป่วย แต่เราต้องไม่ยอมให้ใจป่วยเด็ดขาด ฉะนั้น อะไรที่ทำให้เรายิ้มได้ เราก็จะทำ นอกจาก ‘วิก’ หลากสีที่เราช่วยเสริมความมั่นใจและสีสันให้ชีวิตระหว่างป่วยแล้ว เรายังมีกิจกรรมฝึกสมาธิ-ดีท็อกซ์จิตใจอีกอย่างหนึ่งก็คือการปักผ้าแบบ ‘ซาชิโกะโอริ’ (Sashiko-ori) ซึ่งเป็นภูมิปัญญาปักผ้าแบบดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น รวมถึงการเขียนบันทึกที่เหมือนการระบายสิ่งต่างๆ ลงไปในสมุด เยียวยาความรู้สึกช่วงที่ป่วยได้เป็นอย่างดี ซึ่งสมุดบันทึกเล่มนั้นเป็นของที่ระลึกจากพี่ออย-ไอรีล ไอดอลที่เรารักนั่นเอง 

“ด้วยความที่ พี่พราว (ปารมิตา โกมารกุล ณ นคร) ซึ่งเป็นหัวหน้างานของแพรวเป็นเพื่อนสนิทกับพี่ออย หลังจากเขาทราบข่าวว่าเราป่วยเป็นมะเร็ง พี่พราวก็ตรงไปหาพี่ออยเกือบจะทันที เพื่อขอความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม จากนั้นพี่พราวก็ถ่ายภาพและส่งมาให้แพรวก่อนเข้าห้องผ่าตัดเพียงไม่กี่ชั่วโมง นับเป็นสองภาพที่ช่วยเติมพลังให้เราฮึดสู้ในวันผ่าตัดใหญ่ครั้งแรกในชีวิตของเราได้เป็นอย่างดี”

ขอบคุณมะเร็ง

“แพรวยังมองมะเร็งเหมือนในวันแรกที่เรารู้จักเขา มะเร็งยังเป็นสิ่งไม่ดีในชีวิตเรา ถ้าเทียบกับนิทานเรื่องสโนไวท์ มะเร็งก็คือแอปเปิลอาบยาพิษของแม่มด แต่สุดท้ายมันก็เป็นบทเรียนที่ทำให้เราเรียนรู้และรู้จักป้องกันตัวเองมากขึ้น คัดกรองสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตให้มากขึ้น และให้อภัยตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะทุกอย่างที่เกิดล้วนมีเหตุและผลของมันเสมอ

“และแม้มะเร็งจะเป็นตัวร้ายในชีวิตของเรา แต่แพรวก็ขอบคุณมะเร็งเสมอที่เข้ามาปฏิวัติชีวิตเรา ทำให้เราหันมาใช้ชีวิตอย่างสมดุล ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ทำให้เราค้นพบวิถีชีวิตใหม่ที่ทำให้เรากลายเป็นคนใหม่ จากเมื่อก่อนที่จะเป็นคนเฉื่อยๆ คิดว่า ชีวิตเรามีพรุ่งนี้เสมอ แต่พอมะเร็งเข้ามา กลายเป็นเราเชื่อว่า บางทีพรุ่งนี้…อาจจะสายไป เมื่อเรายังมีโอกาสได้ใช้ชีวิต ยังมีลมหายใจทำสิ่งต่างๆ ได้ ก็ทำให้เต็มที่ที่สุด และมีความสุขในทุกๆ นาที ดังที่คุณหมอเคมีบำบัดเคยเขียนประโยคนี้มอบให้แพรวในวันจบการรักษา” 

เรื่อง : เพชรภี ปิ่นแก้ว
ภาพ : กิจจา อภิชนรจเรข

พิชามญชุ์ เอนกวรกุล กับโมงยามแห่งการเดินทางรอบโรค

ในยุคสมัยที่ Google ตอบได้เกือบทุกคำถาม ความรู้ทุกแขนงสามารถหาได้เพียงพิมพ์คำสั้นๆ และเสิร์ชหา แต่กับบางคำถามก็อาจจะไม่มีทางล่วงรู้คำตอบได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส หากต้องรอจนกว่า ‘ชีวิต’ จะทยอยส่งมอบบทเรียนสำคัญให้เราได้เรียนรู้ ยอมรับ กระทั่งน้อมรับ จนเข้าใจอย่างถ่องแท้ 

ซังซัง-พิชามญชุ์ เอนกวรกุล เป็นอีกคนหนึ่งในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีพลังความคิดสร้างสรรค์ล้นเหลือ เธอมีฝันเหมือนๆ กับคนวัยเดียวกัน และเคยใช้ชีวิตที่เหมือนว่าจะมีพรุ่งนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ ‘ความกลัว’ ได้แทรกซึมเข้ามาในชีวิต นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองและค้นหาคำตอบผ่านการสะสมสารพัดสารพันความรู้ทีละนิด จนเริ่มมองเห็นและเข้าใจความไม่แน่นอนของ ‘ชีวิต’ มนุษย์

และนั่นกลายมาเป็นเทคนิคที่เธอใช้รับมือกับอุปสรรคต่างๆ นานา รวมถึงสถานะการเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ชนิด HER2 Positive มะเร็งที่มีแนวโน้มความรุนแรงของโรคสูงขึ้น และจากการศึกษาพบว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมจะพบ HER2 positive ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับยีนส์ โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงทำให้เกิดมะเร็งเต้านมเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้เกิดมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งสมอง มะเร็งกระดูก เป็นต้น

“ออกตัวก่อนว่าซังเป็นคนที่ไม่ชอบเข้าวัด ทำบุญ ฟังธรรม หรือปฏิบัติธรรมใดๆ เลย แต่สกิลหนึ่งที่ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไรก็คือ ซังจะเป็นคนที่มองว่าการเกิด-แก่-เจ็บ-ตายเป็นเรื่องธรรมดา จำได้ว่าอายุราว 15 ปี จู่ๆ วันหนึ่งเราเกิดความรู้สึก ‘กลัวตาย’ ขึ้นมาเฉยๆ เข้าใจว่าน่าจะมาจากความพอใจในชีวิตที่เป็นอยู่ของตัวเองในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ฐานะ ความเป็นอยู่ ฯลฯ ทุกอย่างในชีวิตเรามันดีไปหมด แม้จะไม่ได้สุขสบายตลอด แต่คุณพ่อคุณแม่ก็เลี้ยงดูเราอย่างไม่เคยลำบากและให้อิสระทุกอย่าง กอปรกับนิสัยส่วนตัวที่ชอบคิด วิเคราะห์ รู้อะไร เห็นอะไร เราก็มักจะมาคิดต่อ เช่น เรียนเรื่องพุทธประวัติเกี่ยวกับการสละราชสมบัติ ความสุขสบายของเจ้าชายสิทธัตถะ เพื่อเสด็จออกผนวช เราก็จะตั้งคำถามขึ้นว่า ทำไมพระองค์ทรงเลือกทางนั้น หรือแม้แต่การอ่านวรรณกรรมเด็กหลายๆ เรื่อง นอกจากเรื่องราวความสนุกในเนื้อเรื่องแล้ว เราก็จะตั้งคำถามว่า ทำไมตัวละครนั้นรวยแล้วจน หรือ ทำไมคนเรามีเกิดแล้วต้องมีดับ ฯลฯ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกๆ เช้าที่คุณแม่ขับรถไปส่งที่โรงเรียน ท่านจะเปิดวิทยุฟังรายงานการจราจร และก่อนจะจบการรายงานทุกครั้ง ผู้จัดรายการก็จะทิ้งท้ายด้วยคำสอนของท่านพุทธทาสเสมอ โดยวลีหนึ่งที่ติดอยู่ในใจเรามาตลอดก็คือ ‘ตัวกูไม่ใช่ของกู’ 

“การสะสมคอนเทนต์เหล่านี้ทำให้เราเห็นถึงความไม่แน่นอนของชีวิต จนเกิดเป็นความกลัวและเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘ถ้าเราตายแล้ว…ยังไงต่อ’, ‘ชาติหน้ามีจริงไหม’, ‘เกิดแล้วดับหายไปเลยหรือเปล่า’, ‘จะไม่มีเราแล้วจริงๆ เหรอ’ ฯลฯ ยิ่งถามก็ยิ่งกลัว และพอเกิดความกลัวตาย ความกลัวอื่นๆ ก็เข้ามา เช่น กลัวเจ็บ กลัวป่วย กลัวแก่ กลัวไม่สำเร็จ ฯลฯ นั่นทำให้เราเริ่มศึกษาเรื่องราวเหล่านี้มาเรื่อยๆ กระทั่งวันหนึ่งก็ไปซื้อหนังสือ ‘คู่มือมนุษย์’ ของท่านพุทธทาสมาลองอ่าน และเริ่มเข้าใจสิ่งที่ตัวเราควบคุมไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็คือ ‘ชีวิต’ ของเราเอง ที่จาก ‘มี’ มันกลายเป็น ‘ไม่มี’ ได้ตลอดเวลา และสุดท้ายความตายก็เป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด”

ชีวิตที่ผิดแผน

หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาสังคมศาสตร์ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล เธอมุ่งมั่นเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานกว่า 5 ปี ก่อนจะตัดสินใจเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจที่ Imperial College London ประเทศอังกฤษ และกลับมาใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์เงินเดือนอยู่เพียงไม่นาน เธอก็บอกลาความโสดและเข้าสู่ประตูวิวาห์ พร้อมวางแผนเดินทางท่องเที่ยวและฮันนีมูนกับสามี โดยมีเงื่อนไขว่าทั้งสองต้องพร้อมใจลาออกจากงานประจำก่อนออกเดินทาง

“เราทั้งสองคนอยากเดินทางท่องเที่ยวผจญภัยไปหลายๆ ประเทศในวัยที่ร่างกายยังไหว และยังไม่มีภาระอะไรที่ต้องเป็นห่วง คุณพ่อคุณแม่ก็ยังดูแลตัวเองได้ จึงวางแผนจะไปผจญภัยกันเต็มที่ เตรียมตัวก่อนออกเดินทางกว่า 3 เดือนเต็ม ไม่ว่าจะเป็นการสมัครอบรม Free Dive กินคลีน ฟิตร่างกาย ทั้งโหนบาร์ ปีนเชือก ฯลฯ เพื่อตั้งใจจะลงแข่งขันวิ่งวิบาก สปาร์ตัน เรซ (Spartan Race) และหลังจากลาออกจากงาน ก็จองตั๋ว จองที่พัก จองซาฟารี ทำวีซ่า ฯลฯ แพลนทริปไว้เกือบเรียบร้อยหมดแล้ว  

“จนกระทั่งเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2566 ช่วงนั้นอยู่ระหว่างเดินทางไปงานรับปริญญาของน้องชายสามีที่อังกฤษ ก็มีนัดสังสรรค์กับเพื่อนๆ ที่นั่น ด้วยความที่เราเป็นคนรักสุขภาพ เลือกกินอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และไม่ค่อยแตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สักเท่าไร ทำให้คืนนั้นดื่มกับเพื่อนไปแค่ 2 แก้ว ก็มีอาการใจเต้นเร็วขึ้นมา พอกลับมาที่พักก็ยังไม่หาย จะนอนก็นอนไม่หลับ จึงลองใช้มือนวดๆ คลึงๆ ที่บริเวณหัวใจ คิดว่าจะช่วยให้อาการดีขึ้น แต่ปรากฏว่ามือก็ดันไปคลำเจอก้อนแข็งๆ ที่หน้าอกด้านซ้าย และจากที่เป็นนักอ่านตัวยง ทำให้เรารู้ว่า ถ้าเป็นก้อนเนื้อที่แข็ง ไม่เจ็บ มีโอกาสสูงที่อาจจะเป็นมะเร็งมากกว่าก้อนที่คลำแล้วเจ็บ ณ นาทีนั้นก็รู้สึกแล้วว่าก้อนที่เป็นอยู่นั้นเข้าข่ายจะเป็นมะเร็งสูงทีเดียว

“แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะยังต้องอยู่ที่อังกฤษต่ออีก 10 วัน ระหว่างนั้นก็เล่าให้สามีฟัง และกำชับว่ายังไม่ต้องบอกใคร เพราะกลัวทุกคนที่มาด้วยจะเป็นกังวลไปกับเรา จากนั้นเราก็ปล่อยจอยไปกับการเดินทาง จนกระทั่งเดินทางกลับมาถึงเมืองไทยวันแรกก็เสิร์ชหาโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านมะเร็งเต้านม และนัดหมายกับแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจภายในสัปดาห์นั้นเลย

“หลังจากคุณหมอตรวจอัลตราซาวนด์แล้ว ก็ขอตรวจแมมโมแกรมเพิ่มเติม โดยให้เหตุผลกับเราว่า ดูเหมือนว่าจะมีหินปูน ซึ่งพอผลแมมโมแกรมออกมาพบค่า BIRADS 5 หมายถึง พบสิ่งผิดปกติ มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมได้สูง 

“ทางคุณหมอจึงแนะนำให้เจาะชิ้นเนื้อไปตรวจในวันนั้นเลย จากนั้นก็กลับมารอผลประมาณ 3 วัน จำได้ว่าประมาณวันเสาร์ เจ้าหน้าที่ก็โทรมานัดให้กลับมาฟังผลในวันรุ่งขึ้น ก่อนจะถามย้ำๆ ว่า มาได้ไหมคะ โดยแจ้งว่าตามปกติวันอาทิตย์จะไม่ใช่เวรคุณหมอ แต่คุณหมอจะมาเพื่อแจ้งผลเราโดยเฉพาะ ตอนนั้นก็เริ่มรู้แล้วว่า ผลชิ้นเนื้อน่าจะออกมาไม่ดีแน่ๆ จึงคุยกับสามีให้เตรียมใจว่าแผนการเดินทางที่วางไว้น่าจะพังแล้ว”

ความป่วยเป็นธรรมดา

“เพราะรู้อยู่แล้วว่าความป่วยนั้นเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ และก่อนหน้านั้น ผลแมมโมแกรมก็ทำให้พอรู้ว่าก้อนที่เป็นอยู่นั้นมีขนาดแค่ 2 เซนติเมตร ยังคงอยู่ในระยะที่ยังรักษาได้ ทำให้พอคุณหมอแจ้งว่า ผลชิ้นเนื้อออกมาเป็นมะเร็งอย่างที่คาดเอาไว้ เราจึงไม่ได้ตกใจหรือร้องไห้ฟูมฟาย ตรงกันข้ามกลับพูดคุยและสอบถามคุณหมอถึงประเภทของมะเร็งที่เป็น แผนการรักษา รวมถึงการเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ทันที ซึ่งคุณหมอก็ตอบอย่างละเอียด ก่อนจะถามกลับมาว่า ‘ผ่าตัดพรุ่งนี้เลยไหม’

“ด้วยความที่เราไม่เคยผ่าตัด ไม่เคยผ่านประสบการณ์การวางยาสลบมาก่อนเลย จึงขอเลื่อนเป็นอีกสองวันถัดมา เพื่อกลับไปเตรียมตัวเตรียมใจก่อน (หัวเราะ) พอกลับมาถึงบ้านคืนนั้น ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน เพราะต้องนั่งยกเลิกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่พัก ตั๋วเดินทาง ฯลฯ โดยแนบใบรองรับแพทย์ไปพร้อมคำร้อง ‘ขอเงินคืน’ เนื่องจากต้องรักษาตัวจากอาการป่วยจึงไม่สามารถเดินทางได้ในวันเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งก็ได้เงินคืนเกือบทั้งหมด

“กระทั่งถึงวันผ่าตัด นอกจากการผ่าตัดแบบสงวนเต้าแล้ว คุณหมอก็ยังนำชิ้นเนื้อพร้อมกับต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ส่งตรวจอีกครั้ง และผลออกมาว่ามะเร็งยังไม่ลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง เราจึงเป็นแค่ผู้ป่วยมะเร็งระยะ 1 ซึ่งก็ยิ่งทำให้เราไม่มีความกลัวใดๆ เลย และรู้สึกว่ามะเร็งระยะนี้คงไม่ทำให้เราตายหรอก

“หลังจากกลับมาพักฟื้นต่อที่บ้าน นอกจากการหาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษามะเร็งทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อทำความเข้าใจคาแรกเตอร์มะเร็งที่เราเป็นอยู่ว่าคืออะไร และไล่ดูคลิปความรู้จากคุณหมอด้านมะเร็งใน YouTube แล้ว เรายังไปขอ second opinion และ third opinion กับคุณหมอเก่งๆ เพิ่มเติมอีก 2 ท่าน จนสุดท้ายก็ได้แนวทางการรักษาที่ตรงความต้องการ รวมถึงตรงกับแนวทางการรักษาจาก National Comprehensive Cancer Network (NCCN Guidelines) เครือข่ายมะเร็งครบวงจรแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลที่สุดก็คือ การให้คีโม Paclitaxel ติดต่อกัน 12 สัปดาห์ ควบคู่กับยาพุ่งเป้า 18 ครั้งทุก 3 สัปดาห์ และฉายแสง 25 ครั้ง จากนั้นก็จบด้วยการให้ยาต้านฮอร์โมน 5 ปี

“หนึ่งเดือนก่อนจะให้คีโม ซังก็ยังดำเนินการ ‘ฝากไข่’ ตามคำแนะนำของคุณหมอ เนื่องจากมะเร็งที่เราเป็นนั้นไม่ได้อยู่ในระยะแพร่กระจาย คุณหมอจึงไม่อยากให้เสียโอกาสที่จะมีลูก เราจึงไปฝากตามคำแนะนำคุณหมอ แม้ลึกๆ ซังและสามีก็ยังไม่ได้คิดเลยว่าพวกเราจะมีลูกไหม (ยิ้ม)”

ยิ่งไม่รู้…ยิ่งกลัว 

“โดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน เรามักจะกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ แต่เมื่อไรที่เรารู้ ความกลัวก็จะน้อยลง ซังจึงพยายามจะรู้ในสิ่งที่พอจะรู้ได้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง เพื่ออย่างน้อยเราจะได้รู้ว่า มะเร็งมีอะไรบ้างที่ทำให้เรากลัว และมีอะไรบ้างที่เราไม่ต้องกลัว จะได้เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งเหล่านั้น และพร้อมที่จะไปต่อกับมัน เพราะหากเราต้องใช้ชีวิตสักพักใหญ่ๆ กับ condition นี้ เราก็พยายามเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด 

“นี่เองที่ทำให้ซังตัดสินใจตัดผมออกก่อนที่จะคีโม ซึ่งตอนนั้นผมยาวมาก…ยาวถึงเอว จากนั้นก็นำผมที่ตัดออกไปให้ร้านทำวิกให้ เพราะรู้ว่าอย่างไรซะ ผลข้างเคียงจากคีโมนั้นก็ทำให้ผมร่วงแน่ๆ ยื้อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร และการเห็นผมร่วงเป็นกระจุกอาจจะทำให้ผู้ป่วยอย่างเรานอยด์ยิ่งกว่าเดิม   

“การให้คีโม 12 สัปดาห์ ผ่านไปด้วยดี แม้จะต้องบูทเม็ดเลือดขาวบ้างในเข็มที่ 4 และเข็มที่ 9 แต่ก็ถือว่าไม่เลวร้ายนัก ส่วนอาการข้างเคียงก็ถือว่ารับมือไหว เหนื่อยง่ายแต่ยังหายใจได้ ท้องเสียแต่ก็กินข้าวได้ ไม่เบื่ออาหาร แค่กินเสร็จต้องวิ่งเข้าห้องน้ำเท่านั้นเอง (หัวเราะ) 

“แม้จะไม่กลัว ไม่ทุกข์ถึงขั้นฟูมฟาย แต่ต้องยอมรับว่าก็มีบ้างที่รู้สึกเซ็งๆ ด้วยความที่เราชอบออกกำลังกาย แต่บางช่วงก็ต้องยอมรับว่าร่างกายไม่ไหวจริงๆ จำได้ว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งไปเล่นพิลาทิสแล้วครูให้ลองยกลูกบอลลูกเล็กๆ ขึ้นลง ปรากฏว่ายกขึ้นไม่ไหว (หัวเราะ) ครูยังตกใจ ทำไมยกไม่ไหว จากปกติเราแข็งแรงมาก เราเองก็ตกใจเหมือนกันว่า ทำไมเรารู้สึกว่าลูกบอลหนักมาก แต่ก็ถือเป็นอีกช่วงชีวิตที่เราได้เรียนรู้อยู่กับความอ่อนแอของร่างกาย ณ ขณะนั้นให้ได้

 
“เหตุการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำให้รู้ว่า เราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างในชีวิตเราได้ จากตอนเด็กๆ ที่เคยคิดเสมอว่า เราจะทำอะไรก็ได้ เราจะเป็นอะไรก็ได้ ถ้าเราพยายามมากพอสักวันเราก็จะไปถึงจุดที่เราต้องการได้ แต่วันนี้เรารู้แล้วว่า แค่ความพยายามอย่างเดียวไม่พอ แต่มันมีอีกหลายสิ่งที่ประกอบกัน และบางสิ่งเราก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้ก็คือความคิดและการตัดสินใจของเรา” 

สีสันหลังมรสุม

มาถึงวันนี้ นอกจากสถานะผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ยังอยู่ระหว่างการรักษาด้วยยาพุ่งเป้าทุก 3 สัปดาห์ โดยจะครบ 18 เข็ม ในช่วงเดือนสิงหาคม  2567 นี้ และยังต้องรับประทานยาต้านฮอร์โมนต่อให้ครบ 5 ปี ซังซังยังเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสีสันของกลีบดอกไม้ ภายใต้ชื่อ Petal Palette ธุรกิจแรกในชีวิตที่เธอมุ่งมั่นตั้งใจอยากให้เป็นสีสัน ความสุข และความสนุกให้ชีวิต    

“ซังไม่ได้คาดหวังหรือตั้งเป้าหมายกับ Petal Palette ไว้สวยหรู เราแค่อยากทำอะไรที่เป็นของตัวเอง ด้วยความที่เราเติบโตมาในครอบครัวพ่อค้า ซึ่งมีกิจการโรงงานที่ได้รับการยอมรับในตลาด consumer product แน่นอนว่าลึกๆ เราไม่ได้อยากเติบโตในบริษัทหรือในฐานะลูกจ้างของใคร แต่ก่อนหน้านั้นเราไม่มีความมั่นใจที่จะเริ่มทำ เรากลัวการเริ่มต้น กลัวจะไม่สำเร็จ กลัวสารพัด แต่พอมะเร็งผ่านเข้ามา เราแค่รู้สึกว่า ลองดูสักตั้งดีกว่า! 

“ณ วันนี้ ถ้าถามว่ารู้สึกอย่างไรกับมะเร็ง ก็ยังรู้สึกว่า มะเร็งยังไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเรานะ (หัวเราะ) มะเร็งเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่เราต้องรับมือให้ได้ มะเร็งก็เหมือนเรื่องไม่ดีอื่นๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรานั่นแหละ เดี๋ยววันหนึ่งก็ผ่านออกไป หรือวันหนึ่งก็อาจจะกลับมาอีกก็ได้ ทุกวันนี้เราจึงพยายามใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความสุขให้ได้มากที่สุด” 

เรื่อง : เพชรภี ปิ่นแก้ว
ภาพ : กิจจา อภิชนรจเรข