ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 กุลธิดา จักรานุวัฒน์ หรือ ‘บิ๊ก’ ไปหาหมอจากอาการปวดหัวที่เป็นมาหลายวันแบบไม่ยอมหาย จากความคิดแค่ว่า ถ้าได้ยาแก้ปวดมาทาน อาการต่างๆ คงจะทุเลาและดีขึ้นตามลำดับ กลับกลายเป็นว่าผลเลือดในวันนั้นระบุว่าเธอมีแนวโน้มจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ท่ามกลางความรู้สึกกลัว ตกใจ และเสียใจ บิ๊กกลับมาตั้งสติและเริ่มต้นรับมือกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แม้ช่วงเวลาที่มาผ่านมา เธอจะพบกับความขรุขระอยู่เป็นระยะๆ แต่ในความไม่ราบเรียบนั้น ทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ทั้งการมองโลก การใช้ชีวีต และการเห็นถึงคุณค่าของตัวเอง โดยมีมะเร็ง ตัวเธอ และโยคะเป็นทั้งเพื่อนและครูที่ช่วยสอนหัวใจให้รู้จักการยอมรับ กล้าเผชิญ และปล่อยวาง
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2022/03/30-2022_02_11_5952-1024x683.jpg)
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดมัยอีลอยด์
“จำได้ว่าวันนั้น บิ๊กมีอาการปวดหัว แต่ไม่ได้รุนแรงขนาดไมเกรน เป็นการปวดแบบรำคาญที่ปวดไม่หายสักที บิ๊กทนมาเรื่อยๆ เพราะไม่ชอบทานยา จนวันที่สามยังไม่หาย วันที่สี่เลยไปพบคุณหมอ ในเวลานั้นเป็นช่วงที่คุณปอ (ทฤษฎี สหวงษ์) ไม่สบาย เป็นโรคไข้เลือดออก คุณหมอเลยกลัวว่าเราจะเป็นโรคนั้นหรือเปล่า จึงทำการตรวจทั่วไปและขอเจาะเลือด ซึ่งตอนนั้นบิ๊กมีไข้สูง แต่ตัวเองไม่รู้เลยนะว่าเราไข้สูง รู้สึกแค่ปวดหัว ตอนกลับมาฟังผลในวันเดียวกัน หมอพูดคำแรกว่า “ผมสงสัยว่าคุณจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว” บิ๊กสตั้นไปพักหนึ่ง เพราะไม่เคยมีความรู้เรื่องมะเร็งอยู่ในหัวมาก่อนเลย คุณหมอเลยอธิบายให้ฟังว่า คนปกติจะมีจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood Cell Count: WBC) ประมาณ 4,500-10,000 cell/ml แต่ของบิ๊กคือทะลุเพดานเป็น 170,000 คุณหมอส่งบิ๊กตรวจอีกครั้งกับคุณหมอเฉพาะทางในวันรุ่งขึ้นเพื่อเช็กอย่างละเอียด”
หลังการวินิจฉัยว่าเป็น มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดมัยอีลอยด์ หรือ CML (Chronic Myeloid Leukemia) คุณหมอได้แนะนำแนวทางการรักษาให้กับบิ๊กไว้ 2 วิธี หนึ่งคือการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก และสองคือการทานยาเพื่อกำจัดสิ่งที่สร้างเม็ดเลือดขาวมากเกินปกติ
“สำหรับการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกจะยากตรงที่ว่าจะต้องเป็นสายเลือดโดยตรง นั่นคือพ่อแม่หรือพี่น้องเท่านั้น จะเป็นญาติทางใดทางหนึ่งไม่ได้เลย ซึ่งคุณหมอบอกว่าการรักษาวิธีนี้จะยากขึ้นไปอีกตรงที่ว่าเราจะไม่สามารถมั่นใจได้ว่าครอบครัวของเราจะ pair กับเราได้ไหม คุณหมอเลยแนะนำให้ทานยา ซึ่งหากผลตอบรับดี ก็ให้ใช้วิธีนี้ไปเรื่อยๆ แต่ยาชนิดนี้มีราคาสูงมาก ณ เวลานั้น คุณหมอจึงให้ข้อมูลของ กลุ่มกำลังใจแมกซ์สมายส์ องค์กรที่ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งหากเรามีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ จะทำให้เราไม่ต้องเสียค่ายาแรงขนาดนั้นได้ โดยบิ๊กรักษาอยู่กับมูลนิธินี้ในช่วง 3 ปีแรก ปัจจุบันบิ๊กมารักษากับอาจารย์หมอที่ศิริราช การรักษายังเป็นการทานยาและนัดตรวจเลือดทุกๆ 3 เดือนค่ะ”
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2022/03/14-2022_02_11_5924-1024x683.jpg)
ดูแลกาย ระวังใจ สู่การอยู่กับมะเร็ง
“สำหรับผลข้างเคียงของยาที่ทาน โดยทั่วไปจะเป็นได้ตั้งแต่การมีผื่น น้ำหนักขึ้น ผิวขาวมากกว่าปกติเพราะตัวยาจะไปทำปฏิกิริยากับเม็ดสีของผิว การปวดเมื่อยตามข้อและกระดูก แต่จะคนจะมีอาการแตกต่างกัน แต่อาการแพ้ที่ทุกคนจะต้องเจอแน่ๆ เลยคือ อาเจียน บิ๊กอาจจะโชคดีที่มีเพียงอาการอาเจียนในช่วงวันแรกๆ เท่านั้น ในการดูแลร่างกาย ทั้งคุณหมอและเจ้าหน้าที่ของทางมูลนิธิแนะนำให้บิ๊กใช้ชีวิตได้ตามปกติเลย ซึ่งการเป็นโรคนี้ ร่างกายเราจะสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งที่ไปสั่งให้เม็ดเลือดขาวสร้างมากเกินไป การทานอาหารให้ครบ 5 หมู่จะทำให้ร่างกายมีโปรตีนและสารอาหารที่สมดุลกัน ก่อนหน้านี้บิ๊กไม่ทานเนื้อสัตว์ เลยกลับมาทานเหมือนเดิม โดยจะเว้นอย่างเดียวคือเนื้อวัว นอกจากนี้ คือการนอนให้เป็นเวลา เพราะการทานยาทำให้เราต้องพยายามทานให้เป็นรูทีน เป็นไซเคิลในการออกฤทธิ์ ขณะที่การออกกำลังกาย ด้วยค่าเลือดของบิ๊กถือว่าไม่มีปัญหา เลยสามารถออกกำลังกายอย่างโยคะได้ เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ไม่รุนแรง และตัวเองเป็นคนฝึกโยคะแบบพอดีกับร่างกายตัวเองมาตลอดอยู่แล้ว
ในเรื่องจิตใจ จังหวะก่อนหน้าที่บิ๊กจะทราบว่าตัวเองเป็น เพื่อนของบิ๊กคนหนึ่งป่วยด้วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและจากไปเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น พอมาคิดเรื่องเพื่อนในเวลานั้น เลยทำให้ตัวเองยิ่งเครียดและกังวลมากขึ้นไปอีก ถามตัวเองตลอดว่าเราจะมีชีวิตอยู่แค่ไม่กี่อาทิตย์แล้วเหรอ ความรู้สึกต่างๆ ถาโถมเข้ามา ทำให้คืนที่ทราบว่าอาจเป็นมะเร็งกลายเป็นคืนที่แย่เอามากๆ คิดว่า ‘ฉันจะทำอย่างไร จะเป็นอย่างไรต่อไป ระหว่างที่ต้องดูแลตัวเองต้องยากแน่ๆ เพราะมะเร็งเม็ดเลือดขาวคือภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เราต้องระวังขนาดไหนกันถ้าต้องไปอยู่กับคนหมู่มาก ชีวิตเราต้องเปลี่ยนไปขนาดไหน นี่เรากำลังจะตายแล้วเหรอ’ คิดวนอยู่แบบนั้นอยู่หลายสัปดาห์ ซึ่งบิ๊กรู้แหละว่าเราทุกคนต้องไปถึงจุดนั้นในสักวัน แต่เรายังคงกลัวและเศร้าอยู่เป็นระยะๆ
สิ่งสำคัญหนึ่งอย่างที่ช่วยบิ๊กไว้ได้เยอะคือ โยคะ การฝึกโยคะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานอกจากจะได้เรื่องร่างกายแล้ว ยังเป็นการฝึกใจด้วย บิ๊กใช้โยคะในการเข้ามาดูหัวใจตัวเอง บิ๊กยอมรับว่าไม่ง่าย แต่นั่นเป็นกระบวนการที่เราจะต้องให้ใจได้เรียนรู้ บิ๊กเลยปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ ถ้ารู้สึกดาวน์คือดาวน์ แต่จะพยายามเอาใจเรากลับมาให้เร็วที่สุด ตอนนั้นทุลักทุเลพอสมควร แต่ยังคงฝึกและวนอยู่เป็นลูปอย่างนั้นจนใจเริ่มนิ่งมากขึ้นและอยู่กับสิ่งที่เรากำลังเจออยู่ได้ เอาจริงๆ ถ้าลองดูสิ่งที่ปฏิบัติกับความเป็นจริงนี่ค่อนข้างจะขัดแย้งกันในตัวพอสมควรเลยนะคะ เพราะการป่วย แน่นอนว่าต้องมีความเครียดเข้ามาไม่มากก็น้อย แต่เราต้องพยายามที่จะไม่เครียด เพราะว่าถ้ายิ่งเครียด จิตใจกับร่างกายจะเริ่มไม่สัมพันธ์กัน จะยิ่งทำให้ภูมิคุ้มกันเรายิ่งแย่และร่างกายอ่อนแอลง ดังนั้น การดูแลร่างกายให้แข็งแรงเท่าที่เราจะทำได้เป็นเรื่องสำคัญมากเท่าไหร่ เรื่องใจก็สำคัญมากเท่านั้น ตอนนี้ทั้งร่างกายและจิตใจบิ๊กแข็งแรงขึ้นมาก บิ๊กยอมรับ เข้าใจ และอยู่กับโรคได้แล้วค่ะ”
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2022/03/274003558_987513428537616_9068712342934374875_n-1024x682.jpeg)
มะเร็ง คือ wake-up call
“จริงๆ แล้ว มะเร็งค่อนข้างที่จะใกล้ตัวบิ๊กเหมือนกัน เพราะคุณแม่และคุณยายเสียด้วยมะเร็งปอด ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นคนสูบบุหรี่ ซึ่งบิ๊กได้เห็นแล้วล่ะว่า มะเร็งเป็นโรคที่ใครจะเป็นก็ได้ เป็นโรคที่ป้องกันไม่ได้เลย พอได้เห็นตัวอย่างแบบนั้น ตัวเราเองเลยพยายามไม่เก็บมาคิด ใช้ชีวิตปกติและดูแลตัวเองมาเรื่อยๆ ทั้งการฝึกโยคะ การพักผ่อน การทานอาหาร การดูแลความคิดและจิตใจ ใช้ชีวิตบนทางสายกลางมาตลอด แต่พอมาเป็นมะเร็ง ถามว่าความคิดความรู้สึกเราเปลี่ยนไปไหม มีสิ่งที่เปลี่ยนไปอยู่เหมือนกัน นั่นคือมายด์เซ็ตในการใช้ชีวิตที่บิ๊กใช้อย่างมีคุณค่ามากขึ้น จากเมื่อก่อนที่เราไม่ได้เห็นค่าอะไรมากนัก การเป็นมะเร็งเหมือนเป็น wake-up call ว่าจริงๆ แล้วความตายใกล้ตัวพวกเรามากเลยนะ ถึงต่อให้คุณไม่เป็นมะเร็งก็ตาม ฉะนั้น ทุกวันนี้ เวลาตื่นมาและพบว่าตัวเองยังมีชีวิต บิ๊กเลยอยากทำให้ในวันนั้นดีและมีค่าที่สุด ในวันที่เราหงุดหงิดจากงาน จากสิ่งรอบตัว แล้วตามหัวใจไม่ทัน เราจะคิดว่าไม่เอา ช่างมัน เพราะเราไม่รู้เลยนะว่าจะมีวันพรุ่งนี้ไหม จะเสียเวลาหงุดหงิดกับสิ่งที่ไม่มีค่าไปเพื่ออะไร จะมีความคิดแบบนี้เข้ามาเตือนอยู่ตลอดเวลา
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2022/03/275261051_517944419689362_8037856450941489103_n-1024x768.jpeg)
ส่วนความเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนจากคนรอบๆ ตัว คือนักเรียนบางคนอาจจะเห็นว่าการสอนของบิ๊กเปลี่ยนไป แต่พวกเขาไม่รู้หรอกนะว่าเป็นเพราะอะไร ปกติบิ๊กเป็นคนที่สอนแล้วตั้งใจ พลังจะมาเต็ม เพราะเจตนาคืออยากจะแชร์สิ่งที่ดีของโยคะให้ได้มากที่สุด แต่ในความตั้งใจของเราอาจทำให้นักเรียนบางคนรู้สึกเครียดและกดดัน นี่เลยเป็นอีกหนึ่งเรื่องหลังจากเป็นมะเร็งที่ทำให้บิ๊กได้กลับมาทบทวนตัวเอง มาดูว่าความเข้มงวดของเราส่งผลอะไรกับนักเรียนบ้าง บิ๊กสัมผัสได้ว่านักเรียนรู้ถึงเจตนาดีของเรา ตั้งใจฝึก และไม่ได้หายไปไหน แต่เขาฝึกด้วยความกลัว ความเกร็ง ความเครียด ซึ่งสะกิดเราว่า ในเมื่อเขาตั้งใจเข้ามาเรียนกับเรา การได้รับความรู้สึกแบบนั้นกลับไปไม่ใช่หรือเปล่า เลยทำให้บิ๊กผ่อนคลายขึ้น เพราะเราไม่อยากให้เขารู้สึกเครียดแบบเดิมอีกแล้ว แต่อยากให้เขารู้สึกว่าเขามาฝึกเพราะเขารักโยคะ ได้ฝึกกับครูคนนี้แล้วสนุก สบาย รีแล็กซ์ และได้ยังประโยชน์เหมือนเดิม ก่อนหน้านี้บิ๊กอาจมีกำแพงที่สูงลิ่วจนคนกลัว ซึ่งจริงๆ ตัวเองเป็นคนตลกและบ๊องคนหนึ่งเลย แต่เรารู้สึกว่าเวลาสอน เราสวมหมวกของบทบาทครูทำให้เราไม่ยอมแสดงมุมที่มีความเป็นมนุษย์ทั่วไปของตัวเองออกมา นี่คือสิ่งที่เราได้จากมะเร็ง ถือว่าเป็นแง่บวกเลยแหละ”
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2022/03/38-2022_02_11-Lo_5968-1024x683.jpg)
“เธอทำดีแล้ว”
“ถ้ามองย้อนกลับไป บิ๊กอยากบอกว่า ‘เธอทำดีแล้ว’ บิ๊กรู้สึกภูมิใจและอยากขอบคุณตัวเองในช่วงเวลาที่ผ่านมากับการที่สามารถจัดการกับสถานการณ์นี้ได้อย่างมั่นคง แม้จะล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ นี่คือชีวิตจริงที่ย่อมมีขึ้นมีลง จนถึงตอนนี้ บิ๊กไม่รู้สึกว่าทำอะไรพลาดไปและไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองต้องดิ้นรนต่อสู้มาตลอด 5 ปี
จุดหนึ่งที่บิ๊กไม่ได้แชร์กับใครเลย เพราะจริงๆ แล้ว ส่วนตัวบิ๊กเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะอินโทรเวิร์ตและด้วยความที่มะเร็งเป็นโรคร้ายแรง เรารู้สึกว่าการบอกใครไปจะเป็นผลดีรึเปล่า ดังนั้น นอกจากครอบครัว จะมีเพียงเพื่อนสนิทและเจ้านายที่ทราบ บิ๊กคิดเยอะพอสมควร จนกระทั่งมาโควิดนี่แหละที่บิ๊กเห็นคนเครียดกับสถานการณ์เยอะมากๆ ซึ่งแปลกอยู่เหมือนกัน เพราะบิ๊กควรจะเครียด เนื่องจากเราเป็นกลุ่มเสี่ยงและโควิดจะมีผลกับเรื่องระบบภูมิคุ้มกันของคนโดยตรง แต่ปรากฏว่าเราไม่เครียดเลย อาจเพราะว่าเราอยู่กับมะเร็งมา 5 ปี ปีนี้คือปีที่ 6 มะเร็งทำให้บิ๊กมองโลกอีกแบบว่าถ้าเราไม่ได้ดูแลตัวเองหรือประมาท แล้วเกิดเป็นโควิดหรือโรคอะไรก็แล้วแต่ขึ้นมา เราจะโกรธตัวเองที่ไม่เต็มที่ แต่ถ้าเราดูแลตัวเองเต็มที่แล้ว อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เราจะไม่เสียใจ แต่จะแค่จัดการกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและไม่มานั่งเครียดล่วงหน้าแบบที่เคยเป็นมา บิ๊กเลยอยากมาแชร์เรื่องราวของตัวเองเพื่อส่งกำลังใจกับคนที่กำลังทุกข์ เครียด หรือต้องต่อสู้กับอะไรในชีวิตอยู่ว่า ในที่สุดแล้วเราจะผ่านไปได้ค่ะ”
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2022/03/274803939_2541632525967323_3000002264357017283_n-768x1024.jpeg)
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2022/03/259665427_491142982603007_5155976714470098469_n-697x1024.jpeg)
รู้ทันหัวใจ
“สำหรับหลายๆ คน หรือกระทั่งตัวบิ๊กเอง แค่บอกว่าเป็นมะเร็งก็รู้สึกกลัวแล้ว ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา บิ๊กอยากให้คนที่อยู่ในสถานการณ์ที่ว่า อนุญาตให้ตัวเองกลัว เศร้า เสียใจ หรือโกรธไปเลย นี่คือสิ่งที่คุณต้องปลดปล่อยออกมาจากระบบในชีวิต เพราะยิ่งเก็บไว้และคิดว่า ‘ไม่ได้นะ ฉันต้องเข้มแข็ง ฉันต้องแข็งแรง ฉันต้องไม่คิด’ ความรู้สึกเหล่านี้จะยังคงค้างอยู่ภายในใจ นั่นจะไม่เป็นผลดีเลย
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ความรู้สึกแบบนี้อาจจะวนเป็นลูป บางวันอาจจะดี บางวันรู้สึกเข้มแข็งขึ้นมา อีกวันอาจจะรู้สึกเศร้าลงไปอีก ปล่อยให้เป็นกระบวนการธรรมชาติ เพียงแต่ให้รู้ว่า ณ เวลานี้ เรากำลังรู้สึกอะไร ไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองมากเกินไป แน่นอนว่าแต่ละคนจะใช้เวลาในการปล่อยความรู้สึกนี้ออกไปจากตัวได้ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น ให้เวลาตัวเองเต็มที่ค่ะ จนวันหนึ่ง คุณจะพบว่า ‘เอ้อ ทุกสิ่งที่เราคิดและรู้สึกหมดจากระบบในตัวเราแล้วนะ’ และวันนั้นคุณจะเริ่มเข้าใจและปรับตัวให้อยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างมั่นคง สำหรับบิ๊ก ชีวิตคนเราเมื่อ hit bottom แล้ว หลังจากนั้น จะมีแต่ขึ้นและขึ้น บิ๊กอยากให้มองแบบนั้นเสมอ ขออย่างเดียวคือเมื่อลงไปถึงจุดที่ลึกที่สุดแล้ว อย่าปล่อยตัวเองให้จมอยู่แบบนั้น พอแตะพื้นแล้ว ให้ถีบตัวและว่ายขึ้นมา วันนั้นคุณจะพบว่า เราทำได้จริงๆ ค่ะ”
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2022/03/62-2022_02_11_6008-1024x683.jpg)
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2022/03/77-2022_02_11_6034-1024x683.jpg)
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2022/03/58-2022_02_11_6000-1024x683.jpg)
เรื่อง: สุดาพร จิรานุกรสกุล
ภาพ: ศุภชัย เหล่ากุลรักษ์
ขอบคุณสถานที่: บ้านต้นไม้สีขาว