นี่คือเรื่องราวของ สุทธิ ชมโพธิ์ ชายจากจังหวัดสุรินทร์ที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังหนุ่ม เขาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งลำไส้ที่ปลายทวารหนักตอนอายุ 37 และจำเป็นต้องมีถุงหน้าท้องเพื่อถ่ายหนักหลังจากนั้นไปตลอดชีวิต อย่างไรก็ตามไม่เพียงเขามุ่งมั่นรักษามะเร็งจนหาย เขายังกลับมาเป็นนักวิ่งสร้างแรงบันดาลใจ รวมทั้งทำโครงการสตาร์ทอัพสร้างสรรค์อุปกรณ์ป้องกันสำหรับผู้มีถุงเก็บอุจจาระหน้าท้อง ซึ่งไม่เพียงทำให้ผู้ที่ผ่านการผ่าตัดทวารหนักมาวิ่งได้ แต่ยังสามารถสวมใส่กางเกงยีนส์เข้ารูปอย่างเรียบเนียน – เท่เหมือนคนอื่นๆ
ข้างต้นคือเรื่องราวของเขา แต่นั่นล่ะ กว่าจะถึงจุดนั้น ชีวิตของชายอายุสี่สิบต้นๆ ผู้นี้ไม่ง่ายเลย และต่อไปนี่คือ ‘ระหว่างทาง’ อันแสนทรหดของชายเลือกนักสู้ผู้นี้
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2020/03/S3_372-683x1024.jpg)
นักสู้เลือดอีสาน
“ผมเกิดที่จังหวัดสุรินทร์ บ้านไม่ได้มีฐานะ จึงเข้ามาใช้แรงงานในกรุงเทพฯ ตอนอายุสิบสอง พบกับภรรยาตอนอายุสิบหก และมีลูกชายคนแรกตอนอายุสิบแปด มีลูกสามคน ผมทำงานหนักส่งเสียพวกเขาเรียนมาตลอด” สุทธิ เล่าถึงชีวิตช่วงต้นของเขาพอสังเขป ชีวิตที่เขาบอกว่าต้องสู้มาตั้งแต่จำความได้
แน่นอน ถ้าย้อนกลับไปในเวลานั้น สุทธิก็คงไม่คาดคิดเหมือนกันว่านอกจากการสู้เพื่อให้มีชีวิตที่ดี เขายังต้องมาสู้กับมะเร็งในวัยสามสิบเจ็ดปีอีกต่อ
ปี 2551 ขณะที่เขาเป็นพนักงานขับรถยกสินค้าในโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี จู่ๆ เขาก็พบว่าตัวเองมีการขับถ่ายที่ผิดปกติ จากถ่ายหนักทุกวันเป็นกิจวัตร ขยับมาเป็นครั้งละสองวันหรือมากกว่า ที่สำคัญเขามีอาการเจ็บที่ปลายทวาร และมีเลือดออกมาพร้อมกับของเสีย สุทธิไปหาหมอ และได้รับคำวินิจฉัยว่าเขาเป็นริดสีดวงทวาร ก่อนจะรักษาไปตามอาการจนดีขึ้น กระทั่ง 7 ปีผ่านไป เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2558 อาการที่เขาคิดว่ามาจากริดสีดวงทวารก็กลับมากำเริบหนักอีกครั้ง
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2020/03/S3_403-683x1024.jpg)
“ตอนแรกคิดว่าเพราะเป็นพฤติกรรม ผมชอบกินเผ็ด และความที่ทำงานด้วยการนั่งอยู่บนรถตลอด โดยส่วนมากก็ทำโอทีกะกลางคืน เข้างานสี่โมงเย็น เลิกงานอีกทีก็หกโมงเช้า เลยคิดว่าริดสีดวงกำเริบอีกแล้ว แต่รอบนี้เป็นหนักกว่าเก่า เพราะเจ็บที่ก้นมาก เจ็บในแบบที่ขับรถและนั่งตรงๆ ไม่ได้เลย” สุทธิ กล่าว
จนกระทั่งเขาพบว่าตัวเองขับถ่ายเป็นเลือดและน้ำเหลืองอีกครั้ง จึงไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต จนสัมผัสได้ถึงสัญญาณของมะเร็งลำไส้ใหญ่ในทวาร สุทธิไปพบหมออีกครั้งในวันที่ 11 สิงหาคม ผ่าชิ้นเนื้อและทราบผลว่าเป็นมะเร็งอย่างเป็นทางการในอีก 9 วันต่อมา (20 สิงหาคม) และผ่าตัดเนื้อร้ายออกวันที่ 26 สิงหาคม กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นภายในหนึ่งเดือน อย่างไรก็ดี ก่อนที่คุณหมอนัดผ่าตัด ก็ได้บอกทั้งข่าวดีและข่าวร้ายที่ส่งผลไปทั้งชีวิตของสุทธิ
ข่าวดีก็คือ จากผลวินิจฉัย เนื้อร้ายยังไม่แพร่กระจาย เขาอาจไม่จำเป็นต้องทำการฉายแสงหรือเคมีบำบัด (ซึ่งต่อมาเขาก็ไม่ต้องทำกระบวนการเหล่านี้เลยสักครั้ง) แต่ข่าวร้ายก็ดูหนักหนากว่า เพราะเนื้อร้ายที่ตัดทิ้งไปคือหูรูดทวารหนัก นั่นหมายความว่าหลังผ่าตัด เขาจะไม่มีอวัยวะที่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้เอง เขาจำเป็นต้องติดถุงเก็บอุจจาระบริเวณหน้าท้องไปตลอดชีวิต
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2020/03/S3_427-683x1024.jpg)
แล้วผมจะสู้กับมันอย่างไร?
เมื่อมาไตร่ตรองและสืบประวัติ สุทธิพบว่าไม่ใช่ทั้งพันธุกรรมหรือโชคชะตาใดๆ แต่เป็นเพราะพฤติกรรมในการใช้ชีวิตของเขาเอง เขาบอกว่าเป็นเพราะเขาทำงานหนักและทำงานข้ามคืนตลอด วิถีการกินของเขาจึงขึ้นอยู่กับร้านอาหารข้างทางราคาประหยัด กับข้าวใส่ถุงพลาสติก ข้าวกล่องไมโครเวฟ เมนูปิ้งย่าง และอีกสารพันที่มีเพื่อประทังชีพเท่าๆ กับที่มีส่วนในการกระตุ้นเซลล์ร้ายในร่างกาย อีกทั้งเขาเป็นคนดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ด้วย ถึงแม้ไม่เยอะ แต่เมื่อบวกรวมกับปัจจัยด้านอาหารการกิน เนื้อร้ายก็เกิดขึ้นในร่างกายเขาจนได้
“พอทราบว่าเป็นมะเร็ง ผมก็ช็อคเลย คำถามมีเข้ามาเต็มไปหมดในหัว ผมคิดถึงความตายเป็นอันดับแรก คำถามต่อมาคือทำไมต้องเป็นเรา ชีวิตเราไม่พร้อม ไหนจะต้องหาเลี้ยงดูครอบครัวอีก ยอมรับว่าหดหู่มาก แต่พอผ่านไปสักพัก ก็กลับมาคิดว่าเราต้องสู้ต่อ ความกังวลถึงครอบครัว ถึงลูกๆ นี่แหละที่ทำให้ผมต้องสู้ต่อ คำถามสุดท้ายในช่วงเวลานั้นจึงกลายเป็น แล้วผมจะสู้กับมันอย่างไร” สุทธิกล่าว
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2020/03/56615083_277118006555032_965587971891789824_n.jpg)
เขาบอกว่าหลังจากหาคำตอบสำหรับคำถามสุดท้ายได้แล้ว ก็เหมือนเขาพบเส้นทางในชีวิตให้เดินต่อ หลังจากนั้นเขาไม่มีความสงสัยอะไรในชีวิตอีกเลย
“ผมใช้เวลาพักฟื้นและรักษาตัวอยู่บ้านสี่เดือน ช่วงเวลานี้เหมือนช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิตเลย เพราะวิถีชีวิตแบบเดิม ต้องเปลี่ยนใหม่หมด ทั้งการนั่ง การเดิน การเคลื่อนไหว และที่สำคัญคือการขับถ่ายผ่านลำไส้ตรงลงไปในถุงหน้าท้อง ตอนแรกชีวิตลำบากมาก เพราะเลือดออกก้นตลอดเวลา และต้องสวมผ้าอนามัยรองไว้ ส่วนก้นที่ผ่าปิดก็ยังต้องใส่อุปกรณ์ที่เรียกว่า shot drain เพื่อดึงของเหลวออกมา เจ็บและทุลักทุเลมากๆ
แต่พอผ่านไปสี่เดือน สภาพร่างกายเริ่มดีขึ้น คุ้นชินกับวิถีชีวิตใหม่มากขึ้น ผมจำได้ว่าวันนั้นคือวันที่ 1 มกราคม 2559 ผมนอนอยู่บ้าน และเห็นรองเท้าวิ่ง ก่อนหน้านี้ผมชอบใส่รองเท้าวิ่งแต่ไม่เคยวิ่ง แค่ใส่ไปเที่ยว เพราะมันนุ่มดี แต่วันนั้นจู่ๆ เหมือนร่างกายมันบอกผมให้ลุกขึ้นมาสิ ลุกขึ้นมาเดิน เดินก่อนแล้วค่อยวิ่งกัน
ซึ่งพอร่างกายมันบอกอย่างนั้น ผมก็สวมรองเท้าวิ่ง และลองเดินเท้าเหยาะๆ ออกจากบ้าน วันนั้นเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตอีกครั้ง
กลับสู่สังเวียน
จากผู้ป่วยที่เพิ่งผ่าตัดหน้าท้อง ก่อนจะกลับมาสวมรองเท้าวิ่งเพื่อเดินออกกำลังกายระยะสั้น และพัฒนาสเต็ปการเดินด้วยความเร็วขึ้น จนกลับมาวิ่งได้อีกครั้ง สุทธิใช้เวลาตลอดปี 2559 เพื่อการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ เช่นเดียวกับวันแรกที่เขาเห็นรองเท้าและเกิดแรงบันดาลใจ เขาจำได้แม่นถึงวันแรกที่เขาร่วมวิ่ง Fun Run ระยะทาง 5 กิโลเมตร กับนักวิ่งคนอื่นๆ ซึ่งยังถือเป็นการเข้าร่วมกิจกรรมการวิ่งอย่างเป็นทางการครั้งแรกในชีวิต วันที่ 19 มีนาคม 2560
“มีคนสมัครวิ่งอยู่ 655 คน ผมเข้าเส้นชัยประมาณคนที่ 20 ใช้เวลา 26.47 นาที ส่วนอีก 630 คนวิ่งตามหลังผมมา ผมเพิ่งหายจากมะเร็ง มีลำไส้อยู่นอกตัว มันไม่ใช่แค่การวิ่งเข้าเส้นชัย แต่นี่ทำให้ผมมั่นใจว่าผมเอาชนะตัวเองได้ ผมมีความมั่นใจในชีวิตหลังจากนี้” สุทธิ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ทั้งนี้ สุทธิให้เครดิตความสำเร็จในการวิ่งสนามแรกในชีวิตของเขากับประดิษฐกรรมที่เขาคิดค้นขึ้นมา นั่นคือเครื่องป้องกันถุงเก็บอุจจาระบริเวณหน้าท้อง ซึ่งทำให้อดีตผู้ป่วยมะเร็งอย่างเขา สามารถเข้าร่วมวิ่งกับนักวิ่งคนอื่นๆ โดยไม่มีใครรู้ว่าเขามีถุงติดอยู่บนหน้าท้องเลย
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2020/03/89509109_2477921662314135_2330191195994587136_n.jpg)
“อุปกรณ์ป้องกันถุงหน้าท้องมันเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์อยู่แล้วครับ เป็นโลหะสำหรับคลุมถุง เพราะส่วนนั้นของร่างกายเรามีแค่ถุงกับลำไส้เลย โดนอะไรนิดก็เจ็บ แต่ความที่โลหะแบบเดิมมันมีขนาดค่อนข้างใหญ่และหนัก ไม่เหมาะกับการรับแรงกระแทกอย่างการวิ่งเร็วๆ ผมก็เลยมาคิดว่าน่าจะมีเครื่องป้องกันที่กะทัดรัดกว่านี้”
และนั่นทำให้สุทธิคิดถึงกระจับสำหรับป้องกันกล่องดวงใจของนักมวย
“ตอนเด็กๆ ผมเคยชกมวย และจำได้ว่ามีกระจับป้องกัน ผมก็เลยคิดว่าถ้าย้ายกระจับจากตรงนั้นมาป้องกันส่วนที่เป็นถุงหน้าท้องเราล่ะ เลยไปหาอีลาสติกที่มาช่วยผูกกระจับไว้คล้ายๆ ขอบกางเกงยางยืด แล้วก็เย็บตีนตุ๊กแกติดกับส่วนที่เป็นโลหะ ตอนแรกก็ทำแบบง่ายๆ ก่อน ทดลองไปทดลองมาจากสแตนเลสที่ค่อนข้างมีน้ำหนัก ก็พัฒนามาจนได้วัสดุไทเทเนียม ซึ่งคล่องตัวกว่าและป้องกันการกระแทกไปพร้อมกัน”
ในวันที่เราสัมภาษณ์เขา สุทธิสวมกางเกงยีนส์ทรงพอดีตัว ดูสมาร์ทมากทีเดียว เขาบอกว่าเมื่อก่อนการมีถุงหน้าท้องแบบเขา ไม่มีทางจะสวมกางเกงยีนส์แบบกระชับเช่นนี้ได้… ใช่ ในขณะนี้เขาก็ยังสวมเครื่องป้องกันนั้นอยู่
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2020/03/S3_457-683x1024.jpg)
“ผมเป็นคนสุรินทร์ ผู้ชายโซนนี้ก็อารมณ์บัวขาว ผิวเข้มๆ หน้าดุๆ คือถ้าแต่งตัวเลอะๆ เนี่ยจบเลย ดูสกปรก ซึ่งผมก็ชอบแต่งตัวมากๆ อยู่แล้วด้วย ชอบแต่งตัวให้ดูสะอาดและสมาร์ท ตอนป่วยก็คิดแหละว่าหลังจากนี้เราจะต้องใส่กางเกงหลวมๆ ขาบานๆ ไปตลอดชีวิตใช่ไหม ซึ่งเมื่อบวกรวมกับความต้องการอยากกลับมาวิ่งได้ จึงจุดประกายให้ผมคิดถึงเครื่องป้องกันนี้ออก”
สุทธิตั้งชื่ออุปกรณ์นี้ว่า Stoma Smile คล้ายบอกเป็นนัยว่าผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ก็ยิ้มได้ เริ่มแรกเขาทำแจกผู้ป่วยด้วยกัน โดยมีแผนจะนำไปจดสิทธิบัตรเพื่อจำหน่ายในราคาย่อมเยา หวังให้เป็นเครื่องมือสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ที่ประสบโรคภัยแบบเดียวกับเขา พร้อมกันนี้สุทธิยังกลายเป็นนักวิ่งที่คอยสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น รวมถึงคอยให้คำแนะนำผู้ป่วยมะเร็งลำไส้แบบเดียวกับเขาในการรักษาและปรับตัวกับการใช้ชีวิตใหม่
“ผู้ได้รับการรักษาและต้องมีถุงหน้าท้องทั้งชีวิตแบบผม ทุกคนมักรู้สึกอายหรือรู้สึกเป็นที่น่ารังเกียจในสายตาของคนอื่น ผมก็เคยผ่าน และต่อสู้กับความคิดของตัวเองมาได้ จึงอยากเป็นแบบอย่างให้คนที่ประสบเคราะห์เดียวกันกับผม ไม่ใช่แค่ไม่ต้องรู้สึกอาย แต่สามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบคนอื่นๆ ได้…
“ผมบอกกับคนอื่นๆ อยู่เสมอว่า จริงอยู่ที่เราป่วย แต่เราผ่านมาได้แล้ว เรามีความพิเศษตรงถุงหน้าท้อง ถ้าเราอยู่กับมันได้ เราจะเก่ง ยิ่งถ้าเราอยู่กับมันด้วยความมั่นใจ เราจะเก่งกว่าคนอื่นๆ” สุทธิ กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากผ่านช่วงมรสุมของชีวิตทั้งทางร่ากายและความสัมพันธ์มาตลอดหลายปี พร้อมไปกับการสร้างชื่อจากการเป็นนักวิ่งสร้างแรงบันดาลใจ และนักออกแบบอุปกรณ์เสริมความมั่นใจแก่ผู้ป่วย ในปี 2562 สุทธิก็ได้พบรักใหม่กับนางพยาบาล และเพิ่งแต่งงานไปในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 ที่ผ่านมา เขาบอกกับเราว่าทุกวันนี้เขารู้สึกเหมือนผู้ชายที่มีความสุขที่สุดคนหนึ่งของประเทศ
แม้เราไม่ทราบว่าเขาใช้เกณฑ์อะไรมาวัด แต่จากรอยยิ้มและน้ำเสียงอันมั่นใจของเขา เราก็เชื่อว่าเขามีความสุขเช่นนั้นจริงๆ
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2020/03/87534636_890427588075878_4828014561825128448_n-1024x683.jpg)
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2020/03/89873460_552435812350918_6562773336105943040_n-1024x684.jpg)
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2020/03/89634203_2599527383701019_8089699862704029696_n-1024x1024.jpg)
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2020/03/89385543_141338913910070_5528764645403262976_n-1024x683.jpg)
![](https://artforcancerbyireal.com/wp-content/uploads/2020/03/S3_462-683x1024.jpg)
เรื่อง: จิรัฏฐ์ ประเสริฐทรัพย์
ภาพ: นวลตา วงศ์เจริญ
ภาพบางส่วน: สุทธิ ชมโพธิ์