เพลินพิศ โกแวร์ เมื่อมะเร็งสอนให้รู้ว่าทุกนาทีจากนี้คือโบนัสของชีวิต

ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน ไอรีน – เพลินพิศ โกแวร์ ตรวจพบความผิดปกติในร่างกายจากการคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณหน้าอก ซึ่งต่อมาพบว่าคือมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 ที่มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง หลังจากรักษาจนอาการเริ่มคงที่ ชีวิตของไอรีนกลับมาดีขึ้น ทว่าปีที่ 3 ของการติดตามผล ร่างกายของเธอพบความผิดปกติอีกครั้ง โดยมะเร็งได้กระจายไปที่ตับแล้ว ด้วยการรักษาในครั้งแรกที่ทำให้ไอรีนรู้สึกทรมานและตั้งใจไว้ว่าหากเซลล์มะเร็งมีการกระจายอีก เธอจะยุติการรักษาทั้งหมด แต่เพราะจำนวนและขนาดของเซลล์ที่แพร่มามีไม่มากและสามารถจัดการได้ เธอจึงตัดสินใจสู้ต่อ 

กระทั่งเข้าสู่ปีที่ 6 ของการรักษา ร่างกายและจิตใจของเธออ่อนแอลงอีกครั้งจนไอรีนลังเลว่าควรจะพอหรือไปต่อ เวลานั้น (พ.ศ. 2563) การรักษาแบบใหม่อย่าง “ภูมิคุ้มกันบำบัด” (Immunotherapy) เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่และกลายมาเป็นความหวังครั้งสำคัญ แม้เส้นทางการรักษานี้จะเป็นอีกหนึ่งด่านหินในชีวิต แต่ก็ทำให้ไอรีนพบสัจธรรมว่าความทุกข์นั้นสอนตัวเธอได้ตรงกว่า มากกว่า และเข้าใจถึงการเป็นมนุษย์ได้มากกว่าความสุขที่ฉาบฉวย อีกทั้งยังเปลี่ยนมุมมองของเธอที่ไม่สนใจว่าตัวเองจะอยู่ไปถึงเมื่อไหร่อีกต่อไป แต่คือการใช้ชีวิตอย่างไรกับเวลาที่เป็นโบนัสของชีวิตให้มีความสุขต่างหาก 

การรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด

“หลังจากมะเร็งกระจายมาที่ตับ การรักษาครั้งที่ 2 ไอรีนต้องรักษาแบบไม่หยุดเลย ทั้งคีโม ทั้งการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัด การผ่าตัดรังไข่เพื่อหยุดการผลิตฮอร์โมนของร่างกาย และรักษามะเร็งตับด้วยการจี้ด้วยความร้อน RFA ซึ่งต่อมาเซลล์มะเร็งยังกระจายไปที่ปอดและกระดูกด้วย ซึ่งการรักษาโดยรวมจะเป็นการให้คีโมมาตลอด และอย่างที่ผู้ป่วยทุกคนรู้ว่าคีโมแต่ละตัวจะนำมาซึ่งผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน จนเข้าสู่ปีที่ 6 เราเหนื่อยมากและต้องการจะหยุดการรักษา” 

เมื่อตัดสินใจและแจ้งคุณหมอถึงความต้องการในเวลานั้น อาจารย์กฤษณ์ (รศ.นพ. กฤษณ์ จาฏามระ) ซึ่งเป็นคุณหมอที่ดูแลไอรีนมาตั้งแต่ต้นจึงเสนอทางเลือกใหม่ นั่นคือการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด” โดยคุณหมออธิบายว่า การรักษาด้วยวิธีนี้เป็นการรักษาโรคมะเร็งโดยอาศัยหลักการทำงานของภูมิคุ้มกัน ซึ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันของเราจะถูกกระตุ้นเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกจากร่างกาย เป็นการส่งเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานเพื่อให้สามารถควบคุมเซลล์มะเร็งในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

“ขั้นตอนที่คุณหมอทำคือการทำวัคซีนโดยนำเอาเม็ดเลือดขาวของเราออกมาทำความรู้จักกับเซลล์มะเร็งในร่างกาย จากนั้นจึงฉีดกลับเข้าร่างกายเพื่อที่จะให้เจ้าวัคซีนตัวนี้เข้าไปทำลายเซลล์มะเร็ง เวลานั้นไอรีนเป็นคนไข้คนแรก ซึ่งคุณหมอบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า นี่เป็นการรักษาแบบใหม่ คุณหมอจะไม่สามารถบอกได้ว่าระหว่างทางจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วหลายๆ อย่างยังไม่มีในตำรา ไม่มีการรับรองผลว่ารักษาแล้วจะหาย แต่สามารถบอกถึงสิ่งที่คุณหมอทราบได้ เมื่อได้ฟังและกลับมาปรึกษากับครอบครัวจึงตัดสินใจว่าจะลองดูอีกสักตั้ง เพราะก่อนหน้านี้เรารู้สึกว่าการเดินทางของตัวเองคือการทำคีโมไปเรื่อยๆ เหนื่อยแล้ววันหนึ่งคงจากไป แต่เมื่อมีการรักษาแนวใหม่เข้ามาเป็นตัวเลือก เราจึงเกิดความหวังและรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว เพราะนี่คืออีกก้าวใหม่ที่เราจะก้าวเข้าไป ไอรีนเริ่มการรักษาด้วยวิธีการนี้ในเดือนเมษายนปี 2563 และใช้เวลา 1 ปีเต็ม จนกระทั่งฉีดวัคซีนครบทั้งหมด 9 โดสเมื่อเดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมา ปัจจุบันนี้ร่างกายแข็งแรงดี สามารถใช้ชีวิตได้เกือบปกติแล้ว ถ้ามีก็จะเป็นผลจากมะเร็งที่กระดูก บวกกับปัญหาเรื่องหมอนรองกระดูกที่คอและหลัง ซึ่งจะมีอาการปวดหลัง ทำให้การลุกการนั่งต้องระมัดระวังมากขึ้นหน่อย” 

วันที่ใจอ่อนล้ากลับแข็งแกร่ง

“ช่วงเวลาที่ท้าทายมากๆ อย่างตอนที่รักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด ตอนนั้นคิดแค่อย่างเดียวคือเราจะใช้ชีวิตในสุดท้ายนี้ให้มีความสุขแล้วจากไป เพราะเมื่อฉีดวัคซีนไปได้ 6 โดสแล้ว ตัวเองมีอาการเยอะมากแบบที่คิดว่าไม่อยากมีมีชีวิตอยู่แล้ว ทั้งคลื่นไส้ อาเจียน ท้องบวม น้ำท่วมปอด ปวดหลังจนเดินไม่ได้ ทำให้ท้อใจอย่างมาก ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปเลยถ้าชีวิตทุกข์และเจ็บปวดขนาดนี้ แต่ว่าไอรีนผ่านมาได้ด้วยกำลังใจ ความรัก และการดูแลของทั้งคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และเจ้านาย รวมทั้งแรงสนับสนุนจากคนรอบๆ ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหมอและทีมที่สู้และทุ่มเทกับการดูแลชีวิตของเรามากๆ ซึ่งในความเจ็บปวดทั้งหลาย พวกเขาไม่เคยทิ้งแม้แต่ครั้งเดียว เรารู้สึกว่าการรักษาของตัวเองห้อมล้อมด้วยครอบครัวที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก ขณะเดียวกันตัวไอรีนเองก็เชื่อว่าชีวิตหลังจากนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ อีก นี่เลยเป็นกำลังใจที่ทำให้สามารถผ่านทุกด่านของการรักษามาได้ ถ้าไม่มีพวกเขา วันนี้เราคงไม่มีแรงที่จะยืนและไม่มีชีวิตอยู่ต่อได้เหมือนกัน”

เวลาคือโบนัสของชีวิต 

“ก่อนที่จะป่วย เรามองโลกแบบหนึ่ง แต่มะเร็งทำให้เรามองโลกเปลี่ยนไป มองสิ่งรอบตัวเป็นความสวยงามและสามารถหาความสุขกับสิ่งใกล้ตัวได้มากขึ้นค่ะ ชีวิตที่มีอยู่ตอนนี้คือเวลาที่เราได้แถมมา เพราะตั้งแต่วันที่ตัดสินใจว่าจะหยุดรักษาครั้งล่าสุดเมื่อปีก่อนนั่นคือเราเลือกที่จะหยุดเวลาแล้ว เลยจะบอกกับตัวเองว่าต้องไม่เอาเวลาชีวิตหลังจากนี้มาอมทุกข์ มาอยู่กับความโศกเศร้า แต่จะใช้เวลาทั้งหมดกอบโกยความสุขและอยู่ร่วมกับครอบครัว มองดูลูกเติบโตและก้าวหน้าไป กลายเป็นว่าการมองชีวิตทุกวันนี้เราไม่ได้สนใจว่าจะอยู่ไปถึงเมื่อไหร่ แต่คือการใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุขในเวลาโบนัสที่เราได้มา 

จริงๆ เป้าหมายในอดีตกับปัจจุบันของไอรีนเหมือนกันนะ สิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้คือเมื่อทำงานจนถึงวันหนึ่ง เราจะหยุดและเกษียณตัวเอง ใช้ชีวิตที่เหลือแบบสโลวไลฟ์ สบายๆ และทำในสิ่งที่รัก ซึ่งการเป็นมะเร็งทำให้เป้าหมายนั้นมาเร็วขึ้นและกำลังจะบรรลุเป้าหมายนั้นแล้วค่ะ”

ฉันจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง

“คุณหมอไม่ได้บอกว่าจะต้องใช้ชีวิตแบบไหน จะต้องทานอะไร จะต้องหลีกเลี่ยงอะไรต่างๆ อย่างไร ให้ใช้ชีวิตตามปกติ ตอนที่ป่วยใหม่ๆ เราฟังคนอื่นเยอะว่าอะไรควรทาน อะไรห้ามทาน ซึ่งเมื่อเราทำตามก็พบว่าร่างกายตัวเองอ่อนแอลงมาก เม็ดเลือดแดงต่ำ ไม่มีแรง เบื่อหน่ายกับชีวิต เพราะทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชีวิตมีข้อจำกัด ทำให้ไม่มีความสุข เมื่อเป็นอย่างนั้น เราจึงเปลี่ยนการใช้ชีวิตมาอยู่บนแนวทางที่ว่า ฉันจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง อย่างอาหารการกิน ทุกวันนี้เราทานทุกอย่าง เพียงแต่จะรู้ว่าอะไรที่ไม่ดีก็จะทานแค่ให้หายอยาก โดยอาหารส่วนใหญ่จะทำเองแบบปรุงสุกใหม่ๆ และมีเปลี่ยนบรรยากาศไปทานอาหารนอกบ้านบ้างตามเวลาและโอกาสอำนวย ไม่ห้ามตัวเองอีกแล้ว เพราะการห้ามทำให้ใจเราอยาก ซึ่งนำไปสู่ความทุกข์และอยู่ยากขึ้น 

นอกจากเรื่องอาหารแล้ว ทุกวันนี้ไอรีนไม่ได้ทำงาน เลยมีเวลาที่จะทำในสิ่งที่รักอย่างการทำขนมและทำอาหาร ใช้ชีวิตอยู่ในครัว เริ่มปลูกต้นไม้ จากแต่ก่อนนี้ชีวิตชอบทุกอย่างที่สำเร็จรูป ถ้าเลือกต้นไม้ เราคงจะเลือกซื้อต้นที่โตมาแล้ว แต่ทุกวันนี้กลับมีความสุขกับการนำเมล็ดมาปลูก หรือซื้อต้นไซส์มินิมา แล้วค่อยๆ ดูเขาเติบโต รวมไปถึงการเลี้ยงนกที่เราเลี้ยงจนกระทั่งเขาไข่และมีลูกนกออกมา ชีวิตในเวลานี้จะวนเวียนกับกิจวัตรประจำวันแบบนี้ ซึ่งเป็นอีกช่วงเวลาที่มีความสุข ทุกวันจะผ่านไปเร็วมาก เหนื่อยก็หยุดพัก พออยากจะทำอะไรเราก็ทำต่อ แต่ก่อนความสุขของเราจะเป็นความสุขที่ฉาบฉวย เช่น การที่ออกไปซื้อของ ทานอาการอะไรต่างๆ นานา แต่ทุกวันนี้ความสุขของเราคือการอยู่บ้านกับครอบครัวและทำในสิ่งที่รัก”

ความทุกข์ที่เปรียบเสมือนเพชรในชีวิต 

“สำหรับคนทั่วไป อยากจะแนะนำเลยว่าให้ดูแลเรื่องอาหารและการออกกำลังกายให้เหมาะสม ตัวเราจะรู้จักตัวเองดีที่สุด เพราะฉะนั้น เราควรจะสังเกตความผิดปกติในร่างกายตัวเองอย่างสม่ำเสมอ บางที เราอาจต้องทำงาน มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบจนหลงลืมใส่ใจตัวเอง มองข้ามความผิดปกติในร่างกาย อย่างน้อยๆ 1 ปี ลองหาเวลาไปตรวจสุขภาพกัน เพราะหากพบความผิดปกติในระยะต้น การรักษาจะง่ายขึ้นและทันท่วงที อยากให้ทุกคนดูแลตัวเองให้ดี รักตัวเองมากๆ เพราะการมีสุขภาพดีมีค่ายิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง 

ก่อนหน้านี้ เรารู้ว่ามะเร็งเป็นโรคร้ายเพราะได้เห็นว่าคนรู้จักส่วนหนึ่งต้องจากไปก่อนวัยอันควรด้วยโรคนี้ เราได้เห็นช่วงสุดท้ายของพวกเขาว่าทรมาน พอมาป่วยเองก็พบว่าสิ่งที่เราได้เห็นมานั้นเป็นความจริงทุกประการ โรคนี้รุนแรงและการรักษาเป็นเส้นทางที่ยาวนานและทรมานกว่าที่คิดไว้มาก จากที่เห็นคนอื่นก็ว่าแย่แล้ว เมื่อมาเผชิญเอง มันยากกว่าหลายเท่าเลยนะ เพราะฉะนั้น ไอรีนอยากจะบอกว่าเข้าใจผู้ป่วยทุกคนมากๆ ว่าต้องเจอกับอะไร และอยากจะบอกว่าในตัวพวกเราทุกคนมีความเข้มแข็งและอดทนเกินกว่าที่เราจะรู้กันเสียอีก อย่าเพิ่งยอมแพ้ เพราะการยอมแพ้จะทำให้เราพลาดช่วงเวลา golden moment หลายๆ ช่วงของชีวิต ไอรีนยังคิดเลยว่าถ้าตัวเองหยุดรักษาไป คงจะไม่มีโอกาสได้ไปงานจบการศึกษาของลูก ไม่ได้เห็นเขาเติบโตขึ้นและประสบความสำเร็จในชีวิต อนาคตยังมีสิ่งอีกมากมายที่เราควรและสามารถจะได้อยู่ในห้วงเวลาแห่งความสุขนั้น นี่ไม่ใช่เพื่อตัวเราเองอย่างเดียว แต่เพื่อคนรอบตัวเราด้วย อยากขอให้ทุกคนสู้ต่อไป สู้ให้สุดทาง และตัวไอรีนเองจะส่งกำลังใจและคอยเป็นแรงสนับสนุนให้กับทุกๆ คนอยู่ตรงนี้ เราจะสู้ไปด้วยกันนะคะ”

เรื่อง: สุดาพร จิรานุกรสกุล
ภาพ: เพลินพิศ โกแวร์