คุณกลัวอะไรที่สุดในชีวิต?
เชื่อว่าภายใต้ความหลากหลายของคำตอบนั้น ล้วนมี ‘ความไม่รู้’ เป็นต้นตออยู่แทบทั้งสิ้น นั่นอาจจะพูดได้ว่า ความกลัวที่เกิดขึ้นนั้นก็คือปฏิกิริยาตอบสนองของมนุษย์ที่มีต่อความไม่รู้ ซึ่งข้อดีของความกลัวก็คือช่วยกระตุ้นให้เราทุกคนรู้จักระแวดระวังตัว ไม่ประมาท กระทั่งหาวิธีป้องกันไว้ก่อน แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับระดับความกลัวของแต่ละคน เพราะหากความกลัวมากเกินไปจนไร้ซึ่งสติ ความกลัวนั้นย่อมไม่มีผลดีใดๆ เลย ตรงกันข้ามอาจจะนำผลร้ายมาสู่ตัวเราได้ เช่นเดียวกับคนที่ไม่มีความกลัวเลย–ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนกล้าหาญ แต่อาจจะเป็นแค่ ‘คนประมาท’ คนหนึ่ง และเมื่อเกิดภัยใดๆ ขึ้นก็อาจจะไม่สามารถปกป้องหรือเอาตัวรอดได้ ฉะนั้น อย่าเขินอายที่จะ ‘กลัว’ เพราะความกลัวเป็นเรื่องธรรมดาของคนเรา แค่ยอมรับและเอาชนะความกลัวนั้นซะ ซึ่งอาวุธเดียวที่จะเอาชนะความกลัวได้ก็คือ ความรู้เท่าทัน

กุ้ง-ฐิตารีย์ มโนสิทธิศักดิ์ คุณแม่วัย 50 กะรัตของลูกสาวสามคน พร้อมพ่วงตำแหน่งคุณยายหน้าใสของหลานสาวตัวน้อยอีกสอง อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด HER2 positive ระยะ 3 ที่เคยกลัวมะเร็งมาตั้งแต่จำความได้ แต่เมื่อเธอมาอยู่ในสถานะผู้ป่วยมะเร็ง เธอกลับได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการเป็นมะเร็งนั้น ไม่ใช่ตัวโรคหรือผลข้างเคียงจากการรักษา แต่เป็น ‘ความกลัว’ ของตัวผู้ป่วยเองต่างหาก นั่นเองเป็นที่มาที่ทำให้หลังจบการรักษา เธอตัดสินใจอุทิศแรงกาย แรงใจ และเวลาส่วนหนึ่งในชีวิตเป็น ‘จิตอาสา’ เพื่อช่วยเหลือและส่งต่อพลังบวกไปยังผู้ป่วยมะเร็งเท่าที่กำลังจะมี
“ทัศนคติที่ดีเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง เพราะเราเชื่อว่าผู้ป่วยเกือบทุกคน พอรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ไม่มีใครไม่กลัว ลึกๆ ทุกคนก็กลัวกันทั้งนั้น เพียงแต่ความกลัวจะอยู่กับเราสั้นหรือยาว ก็ขึ้นอยู่ที่สติของแต่ละคน ถ้าตั้งสติได้เร็ว เดินหน้ารักษาตัวต่อได้ไว แน่นอนว่าก็จะดีกับตัวผู้ป่วยเอง เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เคยกลัว แต่ไม่ใช่ความกลัวตาย เป็นความกลัวการทรมานจากการรักษามากกว่า เนื่องจากเราไม่มีความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเท่าที่ควร และจากประสบการณ์ที่เคยเห็น ‘คุณป้า’ ที่เลี้ยงเรามาป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม ระหว่างการรักษา เรารับรู้ได้ว่าท่านทรมานมาก ทั้งต้องตัดเต้านมทิ้ง พอให้คีโม ผมของท่านก็ร่วง มีอาการเบื่ออาหาร อาเจียน กินอะไรไม่ได้ กระทั่งฉายแสง ผิวหนังก็เกิดอาการไหม้ หลุดลอก และไม่นานท่านก็จากไป นั่นกลายเป็นความเชื่อฝังหัวมาตลอดว่า ถ้าใครเป็นมะเร็ง…ต้องตายแน่นอน ซึ่งทั้งหมดเป็นความกลัวที่มาจากความไม่รู้”

บทเรียนราคาแพง
“ย้อนหลังกลับไปตอนอายุ 26 ปี ตอนนั้นเราตรวจพบเนื้องอกในมดลูก เป็นเหตุให้ต้องผ่าตัดมดลูกทิ้ง ก่อนจะตรวจติดตาม ‘เต้านม’ และ ‘รังไข่’ เรื่อยมาเป็นประจำทุกปี ไม่เคยขาดมากว่า 22 ปี จนกระทั่งในเดือนพฤษภาคม ปี 2565 เรามีอาการเจ็บที่บริเวณใต้รักแร้ แต่ตอนนั้นคิดไปเองว่า น่าจะมาจากการดูแลคุณแม่สามีที่ป่วยติดเตียง เพราะเราต้องคอยพลิกตัวท่านไปมาเป็นประจำ จึงไม่ได้เอะใจอะไร บวกกับเราเพิ่งผ่านการตรวจเต้านมกับคุณหมอสูติฯ ไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2564 จึงคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรร้ายแรงได้ แต่ปรากฏว่าเวลาผ่านไปไม่นาน รักแร้เริ่มบวมขึ้น จึงตัดสินใจไปหาคุณหมอสูติฯ ที่ตรวจภายในและเต้านมให้ประจำ
“พอคุณหมอตรวจคลำหน้าอกดู แต่ไม่เจออะไรผิดปกติ จึงสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นอาการต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้อักเสบ และคุณหมอก็นัดติดตามผลอีกครั้งในเดือนสิงหาคม แต่ด้วยความกังวลใจ เราจึงขอนัดหมายตรวจเต้านมกับคุณหมอเฉพาะทางที่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง ก็คือโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ซึ่งได้คิวเร็วสุดคือ 1 กันยายน 2565 หรืออีก 3 เดือนถัดมา
“พอถึงวันนัด คุณหมอก็ส่งให้ไปแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ ตอนนั้นเริ่มรู้แล้วว่า น่าจะมีอะไรผิดปกติแน่ๆ เพราะคุณหมออัลตราซาวนด์ที่ใต้รักแร้นานเป็นพิเศษ หลังจากตรวจเสร็จ 1 ชั่วโมง คุณหมอก็เรียกฟังผล โดยบอกสั้นๆ ว่า พบก้อนที่เต้านมและใต้รักแร้ จากนั้นก็แนะนำให้เจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ
“ด้วยความที่เราเคยมีประวัติเป็นเนื้องอกมาก่อน ทำให้ประกันสุขภาพในตอนนั้นไม่ครอบคลุมค่ารักษา ‘เนื้องอก’ จึงปรึกษาคุณหมอขอไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลศิริราช ฝั่งรัฐบาล เพื่อประหยัดค่ารักษาพยาบาล ซึ่งคุณหมอก็ใจดีมาก ส่งตัวและนัดคิวให้เจาะชิ้นเนื้อภายในสัปดาห์นั้นเสร็จสรรพ
“หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็นัดให้มารับผลการตรวจซึ่งเป็นเอกสาร ก่อนจะถึงวันนัดฟังผลกับคุณหมออีกครั้ง หลังจากได้เอกสารมา พอเราเห็นค่า BIRAD 5 ก็ค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ทำให้พอรู้แล้วว่าตัวเองคงเป็นมะเร็งแน่นอน กระทั่งถึงวันที่คุณหมอนัด ผลก็เป็นไปตามคาด คือเราเป็นมะเร็งเต้านม ระยะ 3 แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง ที่สำคัญยังเป็นมะเร็งพันธุ์ดุ ชนิด HER2 positive แบบไม่มีตัวรับฮอร์โมน
“ตอนนั้นเกิดคำถามขึ้นมาว่า ตัวเองเป็นมะเร็งเต้านมได้อย่างไร เพราะตลอดกว่า 22 ปี เราตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์เต้านม รวมถึงตรวจภายใน เราไปตามนัดไม่เคยขาด หากเป็นมะเร็ง ทำไมไม่พบในระยะต้นๆ แต่ด้วยความที่เราไม่ได้ไปหาหมอเฉพาะทางด้านเต้านม แต่เป็นการให้คุณหมออ่านผลจากการทำแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์เท่านั้น จึงอาจจะเป็นสาเหตุทำให้ไม่พบความผิดปกติใดๆ และด้วยความดุของมะเร็งชนิด HER2 ทำให้ทุกอย่างลุกลามไปอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงช่วงระหว่างปีของการรอตรวจ”

หาความรู้สู้ความกลัว
“หลังออกจากห้องคุณหมอในวันนั้น เราก็โทรบอกลูกสาวและสามีทันที จำได้ว่าลูกๆ ต่างตกใจและร้องไห้กันใหญ่ ส่วนสามีก็พยายามบอกเราว่า ไม่เป็นไร เป็น…ก็รักษาไป ไม่ต้องกลัวนะ แต่ลึกๆ ก็คิดว่าเขาน่าจะเครียดอยู่พอสมควร หลังกลับถึงบ้าน ลูกสาวทั้งสามคนก็มารวมตัวแล้วช่วยกันเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็ง โดยเข้าเพจและกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวกับมะเร็ง ทำให้เราได้รู้จักกับ Art for Cancer เป็นครั้งแรก และเป็นจุดเริ่มต้นของความเข้าใจในโรคมะเร็งมากขึ้น ยิ่งเรามีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น ความกลัวก็ยิ่งน้อยลง นั่นเองที่ทำให้สติเริ่มกลับมาและพร้อมรับมือกับโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี
“ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เพราะนอกจากกำลังใจทั้งจากครอบครัวและคนที่รักมอบให้อย่างมหาศาลแล้ว เรายังรู้สึกว่า เรายังมีโอกาสที่ดีในการรักษา ได้เจอคุณหมอที่ดี ไม่ว่าจะเป็นคุณหมอศัลยกรรม คุณหมอคีโม คุณหมอฉายแสง ฯลฯ แม้จะเป็นโรงพยาบาลรัฐ แต่การรักษาทุกอย่างดำเนินไปค่อนข้างรวดเร็ว เพราะพอรู้ผลว่าเป็นมะเร็งในวันที่ 1 กันยายน 2565 แล้ว เราก็เริ่มให้คีโม 4 เข็ม พร้อมยามุ่งเป้า 4 เข็ม ในเดือนตุลาคม 2565 และโชคดีมากที่สุดตรงที่มะเร็งตอบสนองกับยา หลังให้คีโมครบ 4 เข็ม ก้อนก็หายไปจนหมด จากเดิมที่คุณหมอขอผ่าตัดเต้านมออกทั้งสองเต้า ก็เปลี่ยนแผนมาเป็น ‘การผ่าตัดแบบสงวนเต้า’ และเลาะต่อมน้ำเหลืองออกไป 7 ต่อมเท่านั้นในเดือนมกราคม 2566
“หลังผ่าตัดแล้ว พักฟื้นไม่ถึง 2 สัปดาห์ ก็เข้าสู่การให้คีโมต่ออีก 4 เข็ม พร้อมด้วยยามุ่งเป้าต่อเนื่องอีก 14 เข็ม ก่อนจะฉายแสงอีก 33 แสง เรียกได้ว่าเต็มแมกซ์ทุกขั้นตอน รวมระยะเวลารักษาตัวไปกว่า 1 ปีครึ่ง โดยจบการรักษาไปเมื่อเดือนมีนาคม 2567 แต่กว่าจะจบได้ ก็เกือบแย่เหมือนกัน”

ระหว่างทางการรักษา
“ด้วยความที่เรารู้อยู่แล้วว่า กระบวนการในการรักษามะเร็งนั้นค่อนข้างหิน พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เราก็พยายามบำรุงร่างกายให้พร้อมกับการรักษาทุกทาง กินทุกอย่าง โดยเฉพาะไข่ขาว รวมถึงเสริมด้วยโปรตีนทางการแพทย์ ทำให้การให้คีโมเข็มแรกนั้นแทบไม่มีอาการแพ้ใดๆ เลย นอกจากภูมิคุ้มกันที่ต่ำลง และนั่นทำให้สัปดาห์แรกหลังจากให้คีโมมาก็ติดโควิดทันที แต่โชคดีที่กินยาแก้ไข้แค่เม็ดเดียว จากนั้นก็หมั่นเช็ดตัวบ่อยๆ จนหายเป็นปกติได้ภายใน 1 สัปดาห์ และสามารถให้คีโมเข็มที่ 2 ต่อได้เลย หลังจากนั้นก็ผ่านคีโมสูตรน้ำขาว 4 เข็มแรก พร้อมยามุ่งเป้ามาอย่างราบรื่น
“พอให้คีโมครบ 4 เข็มแล้ว คุณหมอก็นัดผ่าตัดแบบสงวนเต้า และพักฟื้นประมาณ 2 สัปดาห์ จากนั้นก็เริ่มให้คีโมเข็มที่ 5 ต่อ โดยรอบนี้เป็นคีโมสูตรน้ำแดง พอครบ 8 เข็มแล้ว คุณหมอก็ให้ฉายแสงต่ออีก 33 แสง พร้อมด้วยยามุ่งเป้าต่อจนครบ 14 เข็ม และด้วยความที่เราเป็นมะเร็งเต้านมด้านซ้ายและการให้ยามุ่งเป้านั้นมีผลข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อหัวใจอยู่แล้ว จึงจำเป็นต้องฉายแสงแบบ ‘กลั้นหายใจ’ จะได้ลดผลข้างเคียงต่อหัวใจลง
“ระหว่างการฉายแสงนั้น เราก็คิดว่าตัวเองแข็งแรงดีเพราะน้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่า 10 กิโลกรัม กินได้ทุกอย่าง นอกจากผมร่วงและมีอาการตากุ้งยิงจากอาการแพ้คีโมแล้ว อาการข้างเคียงอื่นๆ ก็แทบไม่มี ทำให้ใช้ชีวิตได้ปกติ ไม่เหมือนคนป่วย แต่ด้วยความที่มะเร็งลามไปยังต่อมน้ำเหลืองแล้ว จำเป็นต้องฉายแสงครอบคลุมมาถึงคอ ซึ่งผลจากการรักษาทำให้หลอดอาหารตีบลง และเจ้าหน้าที่ฉายแสงก็จะเตือนเราทุกครั้งว่า เวลากินข้าวให้เคี้ยวช้าๆ นะคะ เพราะหลอดอาหารจะตีบลงนะคะ แต่ทุกครั้งที่ผ่านมาก็ไม่มีอาการใดๆ สามารถกินอาหาร กินยาได้ตามปกติ จนกระทั่งฉายแสงมาจนครั้งที่ 30 วันนั้นเราก็กินยาตามปกติเหมือนทุกวัน แต่วันนั้นดันกลืนไม่ลง เหมือนยาเข้าไปขวางหลอดลมพอดี โชคดีมากที่วันนั้นสามีอยู่บ้าน เราก็รีบเดินไปหาและชี้ที่คอ เพื่อบอกเขาว่า ยาติดคอและหายใจไม่ออก
“พอสามีรู้ก็ทำการ ‘รัดท้องอัดยอดอก’ เพื่อจะให้ยาหลุดออกมาจากหลอดลม ทำไปราว 3 ครั้ง ยาก็ยังไม่หลุด จนหน้าเราเริ่มเขียวเพราะขาดอากาศหายใจ สามีตัดสินใจอัดครั้งสุดท้ายอย่างแรง จนยาหลุดออกมา เราสามารถหายใจได้ แต่ปรากฏว่าซี่โครงเราหักไป 2 ซี่ โชคดีมากที่ซี่โครงไม่หักไปทิ่มอวัยวะอื่นๆ ซึ่งคุณหมอก็บอกว่า ทำถูกแล้ว เพราะหากนำส่งโรงพยาบาลก็คงไม่ทัน ตอนนั้นต้องใช้เวลาในการรักษาตัวไปราว 3 เดือน กว่ากระดูกซี่โครงจะประสานกันสนิท
“หลังจบการรักษา เราก็เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่หมด พยายามดูแลตัวเองมากขึ้น โดยมีลูกๆ เป็นผู้ช่วย เช่น ตั้งนาฬิกา 4 ทุ่มปุ้บ! ต้องเข้านอน ส่วนเรื่องอาหารก็เปลี่ยนมาเป็นกินข้าวกล้อง หลีกเลี่ยงของทอด ของมัน ของปิ้งย่าง เน้นกินโปรตีนให้ถึง ซึ่งทั้งหมดนี้เราได้มาจากการหาข้อมูลจากผู้รู้ คุณหมอ อดีตผู้ป่วย และแหล่งความรู้ที่น่าเชื่อถือในโซเชียลตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าเป็นมะเร็ง ทำให้มีความรู้มากขึ้น ความกลัวลดลง และมีสติพร้อมรับมือกับโรคมะเร็งและอาการต่างๆ ที่เข้ามา สำคัญที่สุดก็คือเรารู้แล้วว่า มะเร็งก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด จากเดิมที่มีความเชื่อฝังหัวว่า มะเร็งคือโรคร้าย ใครเป็นมะเร็งก็เท่ากับตาย แต่วันนี้ไม่ใช่อีกแล้ว มะเร็งก็แค่โรคโรคหนึ่งที่รักษาได้ แค่เราต้องยอมรับความจริงให้ได้ ตั้งสติให้ไว ดำเนินการรักษาไปให้ถูกทาง และอย่ายอมแพ้”

พรุ่งนี้อาจไม่มีอยู่จริง
“หากย้อนหลังกลับไปตอนอายุ 18 ปี เคยมีหมอดูทักว่า เราจะเป็นมะเร็งเกี่ยวกับเพศหญิง ด้วยความเป็นเด็กในตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งอายุ 25 ปี ก็มีหมอดูมาทักอีกว่า เราจะเป็นมะเร็ง ซึ่งตอนนั้นผ่านการผ่าตัดมดลูกออกแล้ว จึงคิดว่าคงไม่เป็นแล้วมั้ง พออายุ 32 ปี ก็มีหมอดูมาดูฮวงจุ้ยที่บริษัทและเดินมาที่โต๊ะ ก่อนจะทักว่า คนที่นั่งโต๊ะนี้จะเป็นมะเร็งนะ ตอนนั้นเริ่มคิดหนักถึงขั้นบินไปฮ่องกงเพื่อแก้ดวง แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น พออายุ 48 ปี ก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งอยู่ดี ตั้งแต่นั้นมาเราก็เชื่อเสมอว่า โลกนี้ไม่มีเหตุบังเอิญ ทุกอย่างคงถูกกำหนดมาแล้ว และเราทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะนำพาเราไปเจอกับอะไรบ้าง แต่เราล้วนเลือกที่จะมี ‘มุมมอง’ ต่อสิ่งที่เจอได้
“นั่นเองที่ทำให้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต เราจะไม่มองสิ่งที่เสียไป แต่เราจะมองสิ่งที่ยังมีอยู่ ทำให้พอรู้ว่าเป็นมะเร็ง เราจึงไม่มัวฟูมฟายว่าจะมีชีวิตอยู่อีกเท่าไร แต่เราหันมาโฟกัสถึงการใช้ทุกวินาทีที่มีอยู่อย่างมีคุณค่า ใช้ชีวิตในแต่ละวันเสมือนเป็นวันสุดท้าย เพราะเรารู้แล้วว่า ชีวิตเรานี้ไม่ได้มีวันพรุ่งนี้เสมอไป…”











___
เรื่อง : เพชรภี ปิ่นแก้ว
ภาพ : วุฒินันท์ จันโทริ