การรักษาด้วยศัลยกรรมในมะเร็ง

โดยทั่วไปแล้ว คำว่า “ศัลยกรรม” หมายถึง การรักษาโรคโดยวิธีผ่าตัด การผ่าตัดเป็นวิธีการรักษามะเร็งเฉพาะที่ การรักษามะเร็งระยะแรกส่วนใหญ่มักต้องมีการผ่าตัด เช่น มะเร็งศีรษะและคอ เต้านม ปอด มะเร็งในช่องท้อง เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งมดลูก มะเร็งรังไข่ เป็นต้น การผ่าตัดที่ใช้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งนั้นมีหลายลักษณะ แบ่งออกตามวัตถุประสงค์ของการผ่าตัดได้ ดังนี้

1. การผ่าตัดเพื่อการวินิจฉัย (Biopsy)

การวินิจฉัย ในกรณีที่มีก้อนไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ก่อนที่จะเริ่มให้การรักษาแพทย์ต้องรู้ว่าก้อนนั้นเป็นอะไร การผ่าเอาชิ้นเนื้อส่งตรวจจะทำให้แพทย์ทราบการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งจริงหรือเปล่า และเป็นมะเร็งชนิดไหน ซึ่งเป็นการตัดหรือขลิบชิ้นเนื้อจากก้อน เนื้องอก หรืออวัยวะที่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง ส่งตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อการพิสูจน์และวินิจฉัยโรค วิธีนี้จะสามารถยืนยันได้ว่าเนื้องอก หรืออวัยวะนั้น ๆ เป็นเนื้องอกธรรมดา หรือมะเร็ง การตัดชิ้นเนื้อเพื่อพิสูจน์ดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ

. ตัดชิ้นเนื้อ เพียงบางส่วน (Incisional Biopsy) วิธีนี้เลือกใช้ ในกรณีที่เนื้องอกมีขนาดใหญ่มากหรือเป็นกลุ่มก้อน ทั้งนี้เพื่อนำผลพิสูจน์นั้นเป็นแนวทางในการวางแผนการรักษาต่อไป

. ตัดเนื้องอกออก ทั้งก้อน (Excisional Biopsy) ใช้ในกรณีที่ก้อนเนื้อดังกล่าวมีขนาดไม่ใหญ่มากสามารถตัดออกได้ทั้งก้อนและไม่เป็นอันตรายต่ออวัยวะข้างเคียง

2. การผ่าตัดเพื่อการรักษา การผ่าตัดชนิดนี้เพื่อผลทางการรักษา แพทย์จะผ่าเอาเนื้อร้ายหรือสงสัยว่าจะเป็นเนื้อร้ายออกให้หมดหรือมากที่สุด อาจมีการตัดต่อมน้ำเหลือง หรือเนื้อเยื่อใกล้เคียง ร่วมด้วยโดยจุดมุ่งหมายให้ผู้ป่วยหายขาดจากการผ่าตัด (ในกรณีระยะแรก) หรือเพื่อบอกระยะของโรค ทำให้วางแผนการรักษาเสริม เช่นเคมีบำบัดหรือรังสีรักษาได้ถูกต้องตามระยะโรคต่อไป ปัจจุบันการผ่าตัดมีความก้าวหน้ามาก หลายอวัยวะสามารถผ่าตัดโดยไม่ทำให้เสียรูปทรง และหลีกเลี่ยงการสูญเสียอวัยวะนั้นไป เช่น มะเร็งเต้านม มีการผ่าตัดเฉพาะก้อน (Lumpectomy) ไม่ต้องตัดนมทั้งเต้า (Mastectomy), มะเร็งกระดูกของกระดูกต้นขา แพทย์สามารถผ่าตัดเก็บรักษาขาได้ (Limb sparing Surgery) โดยไม่ต้องตัดขา (Amputation)

3. การผ่าตัดแบบการรักษาแบบประคับประคอง วิธีนี้ใช้ในกรณีที่ที่โรคลุกลามมาก ต้องการลดขนาดของก้อนมะเร็ง หรือเพื่อลดอาการที่เกิดจากก้อนมะเร็ง จุดมุ่งหมายคือเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็ง เช่น ลดความทุกข์ทรมานอันเกิดจากความเจ็บปวด หรือแผลเน่าเหม็นได้

การผ่าตัดจะรักษาโรคให้หายขาดหรือไม่

การผ่าตัดมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งในระยะเริ่มต้นสามารถหายขาดได้จากการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว แต่ในบางกรณีที่มะเร็งมีลักษณะโรคที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายหรือกลับเป็นซ้ำสูง เช่นมีการกระจายไปอวัยวะอื่นแล้ว หรือไม่สามารถผ่าตัดออกได้ทั้งหมด ก็จะจำเป็นต้องให้เคมีหรือรังสีรักษาเพิ่มเติมเพื่อให้หายขาดจากโรคและป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

การรักษาด้วยการฉายรังสีในผู้ป่วยโรคมะเร็ง

การรักษาโรคมะเร็งประกอบด้วยวิธีการรักษาหลายวิธี เช่น การฉายรังสี การผ่าตัด ยาเคมีบำบัดและการรักษาด้วยฮอร์โมน เป็นต้น ซึ่งอาจจะให้การรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งหรือใช้หลายวิธีร่วมกัน ในกรณีที่จำเป็นต้องมีการรักษาด้วยการฉายรังสี ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลโดยแพทย์รังสีรักษา แพทย์จะอธิบายถึงบทบาทของรังสีรักษา ข้อดี-ข้อเสีย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการรักษา และภายหลังจากเสร็จสิ้นการรักษา

วิธีการของการรักษาด้วยรังสีเป็นอย่างไร 

รังสีรักษาจะทำลายสารพันธุกรรมภายในเซลล์มะเร็งและทำให้เซลล์มะเร็งได้รับความเสียหายหรือตายไป ร่างกายจะกำจัดเซลล์เหล่านี้ออกจากร่างกาย ในขณะเดียวกันเซลล์ปกติก็ได้รับผลกระทบจากรังสีด้วย แต่เซลล์ปกติเหล่านี้มีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองได้ดีกว่าเซลล์มะเร็ง ปัจจุบันเทคนิคการฉายรังสีพัฒนาไปมาก แพทย์รังสีรักษาสามารถกำหนดตำแหน่งของการฉายรังสีไปยังก้อนมะเร็งได้อย่างแม่นยำ โดยเนื้อเยื่อปกติโดยรอบได้ปริมาณรังสีน้อยกว่าเดิม

วัตถุประสงค์ของการรักษาด้วยรังสีในโรคมะเร็งและเนื้องอกต่างๆ ได้แก่

  • เพื่อกำจัดมะเร็งหรือเนื้องอกที่ยังไม่มีการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
  • เพื่อลดความเสี่ยงของการกำเริบหลังการผ่าตัด หรือให้ยาเคมีบำบัด โดยสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งที่หลงเหลืออยู่แต่มองไม่เห็นได้
  • เพื่อลดขนาดของเนื้องอกก่อนการผ่าตัด
  • ลดอาการต่าง ๆ ที่เกิดจากก้อนเนื้องอก และช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต ซึ่งการรักษาแบบนี้จะเรียกว่า การรักษาแบบประคับประคอง หรือการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น การฉายรังสีเพื่อลดอาการปวดจากก้อนมะเร็งหรือเนื้องอกไปกดหรือการฉายรังสีเพื่อลดขนาดของก้อนมะเร็งที่กดเส้นเลือดในช่องอกที่ทำให้หอบเหนื่อย

ผู้ป่วยบางรายอาจกลัวว่าการฉายรังสีจะทำให้เกิดมะเร็งชนิดอื่นตามมาหลังการรักษา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตามหลังการรักษาด้วยรังสีนั้นน้อยมาก เมื่อเทียบกับประโยชน์ของการรักษาเพื่อให้หายขาดจากโรคมะเร็ง ซึ่งมีประโยชน์และสำคัญมากกว่า

เทคนิคการฉายรังสีมีกี่ชนิด 

จุดประสงค์หลักของการฉายรังสีคือ เพื่อกำจัดและฆ่าเซลล์มะเร็ง และโดยที่เนื้อเยื่อปกติโดยรอบได้รับรังสีในปริมาณน้อยที่สุด

การรักษาด้วยการฉายรังสีมี 2 แบบ คือ

  • รังสีรักษาระยะไกล (External beam radiation therapy) คือการรักษาด้วยรังสีที่มีแหล่งกำเนิดรังสีอยู่ห่างจากตัวผู้ป่วยและใช้เอกซเรย์พลังงานสูง (photon)
  • รังสีรักษาระยะใกล้ (Brachytherapy)หรือการฝังแร่หรือใส่แร่ คือการใช้สารกัมมันตรังสีใส่เข้าไปภายในตัวผู้ป่วย

 รังสีรักษาระยะไกล (External beam radiation therapy) 

ในการรักษาด้วยรังสีรักษาระยะไกล ลำแสงจากภายนอกจะทะลุผ่านผิวหนังไปยังก้อนมะเร็งและพื้นที่รอบ ๆ เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง โดยทั่วไปจะฉายรังสีห้าวันต่อสัปดาห์ เพื่อให้รังสีเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างสม่ำเสมอ และเว้นระยะเวลาให้เซลล์เนื้อเยื่อปกติได้มีเวลาซ่อมแซมตัวเอง เพื่อลดผลข้างเคียงจากการฉายรังสี

รังสีรักษาระยะไกลมีหลายชนิดและมีการพัฒนาเพื่อจำกัดขอบเขตของการฉายรังสีให้ครอบคลุมก้อนให้มากขึ้นโดยส่งผลต่ออวัยวะข้างเคียงให้น้อยที่สุด รังสีรักษาระยะไกลมีหลายเทคนิค ได้แก่

  • การฉายรังสีแบบ 3 มิติ (3D conformal radiotherapy, 3D-CRT)เป็นการนำภาพเอกซเรย์ CT, MRI, PET มาช่วยในการกำหนดตำแหน่งของการฉายรังสี โดยใช้คอมพิวเตอร์ในการวางแผน มีการกำหนดทิศทางของลำรังสี แล้วปรับรูปทรงและขนาดของลำรังสี โดยใช้ Multileat collimator (MLC) หรือซี่ตะกั่ว เพื่อกำหนดรูปร่างของรังสีให้ครอบคลุมก้อนและหลีกเลี่ยงอวัยวะข้างเคียงให้มากที่สุด
  • การฉายรังสีแบบปรับความเข้ม (Intensity modulated radiation therapy, IMRT)เป็นเทคนิคที่พัฒนาต่อมาจากการฉายรังสี 3D-CRT สามารถให้ความละเอียดแม่นยำได้มากขึ้น เพราะใช้ลำรังสีขนาดเล็ก ๆ ฉายจากหลายทิศทางไปยังเป้าหมายโดยใช้อุปกรณ์ปรับลำแสง (MLC) ในการปรับความเข้มของรังสีในบริเวณต่าง ๆ ลำรังสีจะตรงไปยังก้อนมะเร็งได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่หลบหลีกอวัยวะข้างเคียงรอบ ๆ ไปด้วย ทำให้สามารถเพิ่มปริมาณรังสีไปยังก้อนมะเร็งเพื่อเพิ่มโอกาสการหายจากโรคได้อย่างปลอดภัย
  • การฉายรังสีแบบปรับความเข้มหมุนรอบตัวผู้ป่วย (Volumetric Modulated Radiation Therapy, VMAT)เป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้นมาจากเทคนิค IMRT เนื่องจากเทคนิค IMRT มีข้อจำกัดเรื่องของระยะเวลาในการฉายรังสีค่อนข้างนาน คือประมาณ 15-20 นาที ซึ่งทำให้ผู้ป่วยไม่สะดวกหากต้องนอนนิ่งนาน ๆ ระหว่างการฉายรังสี สำหรับเทคนิค VMAT นี้ นอกจากซี่กำบังลำรังสีจะมีการปรับความเข้มระหว่างฉายรังสีตลอดเวลาแล้ว ยังมีการปรับอัตราปริมาณรังสีที่ออกมาต่อหน่วยเวลาและความเร็วของหัวเครื่องฉายรังสีด้วย เพื่อช่วยลดระยะเวลาในการฉายรังสีลงในขณะที่ปริมาณรังสียังครอบคลุมเฉพาะก้อนมะเร็ง
  • Image-Guided Radiation Therapy (IGRT)เป็นเทคนิคใหม่ที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการฉายรังสีและลดภาวะแทรกซ้อนของเนื้อเยื่อปกติจากรังสี เนื่องจากในระหว่างการรักษาผู้ป่วยอาจมีการเคลื่อนไหวจากการหายใจ หรือก้อนเนื้องอกอาจมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงมีการนำภาพเอกซเรย์มาใช้ เพื่อตรวจสอบตำแหน่งของก้อนมะเร็งในแต่ละวันของการรักษา ผู้ป่วยทุกคนจะได้รับการทำเอกซเรย์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ก่อนเพื่อนำภาพมาวางแผนการฉายรังสี โดยข้อมูลเหล่านี้ จะถูกส่งไปยังคอมพิวเตอร์ประจำห้องฉายรังสี เพื่อให้แพทย์สามารถเปรียบเทียบภาพเอกซเรย์ก่อนที่จะทำการฉายรังสีจริงกับภาพที่แพทย์ได้วางแผนไว้ก่อนเพื่อให้ตำแหน่งของก้อนมะเร็งตรงกันมากที่สุด 
  • การฉายรังสีร่วมพิกัด (Stereotactic Radiation Therapy)เป็นการฉายรังสีในปริมาณสูงโดยใช้ลำรังสีขนาดเล็กหลายทิศทางในการกำหนดพิกัดสามมิติ เพื่อให้รังสีพุ่งตรงสู่เป้าหมายหรือรอยโรคที่กำหนด เทคนิคการฉายรังสีร่วมพิกัดนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
    1) Stereotactic radiosurgery (SRS)เป็นการฉายรังสีร่วมพิกัดปริมาณรังสีสูงเพียงครั้งเดียว ซึ่งถูกพัฒนานำมาใช้ครั้งแรกในการรักษามะเร็งในสมอง การรักษาชนิดนี้ นอกจากจะใช้รักษามะเร็งสมองแล้วยังมีการนำมาใช้ในการรักษาโรคกลุ่มเนื้องอกธรรมดา (Benign tumor) เช่น โรคหลอดเลือดในสมองผิดปกติแต่กำเนิด (AVM) บางครั้งอาจใช้การฉายรังสีมากกว่า 1 ครั้ง เรียก SRT (Stereotactic radiotherapy) เพื่อลดผลข้างเคียงจากวิธีฉายรังสีแบบครั้งเดียว
    2) Stereotactic body radiation therapy (SBRT) เป็นการฉายรังสีร่วมพิกัดในบริเวณอื่นนอกจากสมอง โดยมักแบ่งการฉายรังสีเป็นหลาย ๆ ครั้ง ส่วนมากแบ่งเป็น 3-8 ครั้ง วิธีการรักษานี้มักใช้ในโรคมะเร็งบริเวณ ปอด กระดูกสันหลัง และตับ

ในการฉายรังสีแบบร่วมพิกัดนั้น มีการให้ปริมาณรังสีสูงมากในแต่ละครั้ง จึงต้องให้ผู้ป่วยอยู่นิ่งให้มากที่สุดและเหมือนเดิมมากที่สุดในทุก ๆ วันที่รับการฉายรังสี จึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือยึดตัวผู้ป่วยในระหว่างการฉายรังสี

2. รังสีรักษาระยะใกล้ (Brachytherapy)

รังสีรักษาระยะใกล้ หรือการฝังแร่ คือ การใส่สารกัมมันตรังสีเข้าไปภายในตัวผู้ป่วย ซึ่งต้นกำเนิดรังสีจะอยู่ใกล้กับบริเวณที่จะทำการรักษา วิธีการใส่แร่แบ่งเป็น 2 ประเภทหลักคือ การใส่แร่ผ่านไปทางเครื่องมือที่ใส่ในโพรงของร่างกาย (intracavitary brachytherapy) ซึ่งได้แก่ การใส่แร่ในมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทางช่องคลอด และการใส่แร่ผ่านทางเครื่องมือที่แทงเข้าไปในตัวก้อนมะเร็ง (interstitial brachytherapy) เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก หรือใช้ในการเสริมการรักษามะเร็งปากมดลูก ผู้ป่วยบางรายอาจต้องได้รับการระงับความรู้สึกด้วยยาและนอนโรงพยาบาลเป็นเวลาสั้น ๆ เทคนิคใส่แร่ในปัจจุบันได้แก่ High dose rate (HDR) brachytherapy ซึ่งเป็นการใส่แร่ที่ให้ปริมาณสูงในแต่ละครั้ง ทำให้ใช้เวลาในการรักษาไม่นาน คือประมาณ 10-20 นาที โดยอาจรักษาวันละ 1-2 ครั้ง, สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

ในระหว่างการใส่แร่ ผู้ป่วยอาจรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัวได้บ้างจากการใส่เครื่องมือ ซึ่งทีมแพทย์และพยาบาลจะดูแลให้ยารักษาตามอาการอย่างใกล้ชิด

ผลข้างเคียง (Side effects) 

  • ผลข้างเคียงของการฉายรังสีเป็นผลข้างเคียงเฉพาะที่ ขึ้นกับบริเวณที่ได้รับการฉายรังสี เช่น ในการรักษามะเร็งเต้านมผู้ป่วยอาจมีรอยแดงหรือสีผิวคล้ำขึ้นตรงผิวหนังบริเวณหน้าอกตรงที่ฉายรังสี ในขณะที่ถ้าเป็นมะเร็งในช่องปากจะมีอาการเจ็บปากเจ็บคอในช่วงฉายรังสีได้ หรือผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสีบริเวณช่องท้อง อาจรู้สึกปวดมวนท้อง เป็นต้น อาการเหล่านี้มักเป็นชั่วคราว และมักเริ่มในช่วงสัปดาห์ที่สองและสามของการฉายรังสี และอาจมีอาการต่อไปได้อีก 2-3 สัปดาห์หลังฉายรังสีครบ ส่วนน้อยมากเท่านั้นที่เกิดผลข้างเคียงรุนแรงภายหลังการฉายรังสี
  • อาการที่มักเจอบ่อย ๆ ช่วงฉายรังสีไม่ว่าจะรักษาบริเวณไหนก็ตาม คือ รู้สึกอ่อนเพลีย ซึ่งระดับความมากน้อยขึ้นกับตัวบุคคล บริเวณที่ฉายรังสี และการได้รับการรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ยาเคมีบำบัด หากมีอาการดังกล่าวควรพยายามพักผ่อนให้มากและผ่อนคลายความเครียด
  • ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคนิคการใส่แร่เป็นแบบ 3 มิติร่วมกับภาพสะท้อนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ซึ่งถือเป็นเทคนิคที่มีความแม่นยําสูง และมีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน ตั้งแต่ก่อนการรักษาซึ่งมีส่วนช่วยให้แพทย์เลือกวิธีการและเทคนิคการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน และในระหว่างการรักษาที่ช่วยให้สามารถระบุตําแหน่งก้อนมะเร็งได้อย่างชัดเจน และคํานวณปริมาณรังสีได้อย่างแม่นยํา ทําให้สามารถลดผลข้างเคียงจากรังสีไปยังอวัยวะข้างเคียง

ทีมการรักษา

ทีมการรักษาประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาและบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ ความสามารถเกี่ยวกับโรคมะเร็ง นำโดยแพทย์รังสีรักษา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้รังสีรักษามะเร็ง 

  • แพทย์รังสีรักษา เป็นผู้วางแผนการรักษาและการฉายรังสีของผู้ป่วย โดยจะร่วมกับทีมการรักษาในการวางแผน ส่งการรักษาและตรวจสอบแผนการรักษาเพื่อให้แน่ใจว่าแต่ละครั้งมีความถูกต้อง แพทย์รังสีรักษาจะคอยติดตามการรักษา รวมทั้งปรับเปลี่ยนการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ดีที่สุด
  • นักฟิสิกส์การแพทย์ เป็นผู้ทำงานร่วมกับแพทย์รังสีรักษาโดยตรงเพื่อช่วยในการวางแผนการรักษาเป็นผู้คำนวณและร่วมออกแบบการรักษาด้วยรังสีให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละคน นอกจากนี้ยังเป็นผู้คอยควบคุมตรวจสอบโปรแกรมการทำงานของเครื่องมือและคอยตรวจ สอบความปลอดภัยของการฉายรังสีให้กับผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่
  • นักรังสีการแพทย์ เป็นผู้ให้การฉายรังสีตามแผนการรักษาของแพทย์ มีหน้าที่จดบันทึกการรักษาในแต่ละวัน และตรวจสอบการทำงานของเครื่องมือให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานตลอดเวลา
  • พยาบาลทางรังสีรักษา เป็นผู้คอยให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและญาติตั้งแต่ก่อน ระหว่าง และหลังการรักษาคอยอธิบายผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการฉายรังสีและแนะนำวิธีการปฏิบัติตัว

รังสีปลอดภัยหรือไม่

  • ผู้ป่วยบางรายกังวลกับความเสี่ยงที่เกิดจากการฉายรังสี การฉายรังสีสามารถรักษาผู้ป่วยจนประสบผลสำเร็จมาแล้วกว่า 100 ปี การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้มั่นใจได้ว่าการฉายรังสีนั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ก่อนเริ่มทำการรักษา ทีมการรักษาจะเป็นผู้ออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะสมปลอดภัยและมีความแม่นยำต่อผู้ป่วยมากที่สุด โดยทั่วไปการรักษาจะมุ่งเน้นการฉายรังสีไปที่ก้อนมะเร็ง ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงอวัยวะสำคัญข้างเคียงให้มากที่สุด โดยก่อนและระหว่างการฉายรังสีจะมีการเอกซเรย์ตรวจสอบแผนการรักษา เพื่อให้การรักษาเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ถ้าผู้ป่วยต้องได้รับการฉายรังสีแบบภายนอก คือ นอนบนเตียงและมีเครื่องปล่อยพลังงานรังสีออกมา ซึ่งเป็นรังสีที่มองไม่เห็น หลังฉายรังสีผู้ป่วยจะไม่มีรังสีติดตัว สามารถกลับบ้านได้ 
  • การใส่แร่โดยการเอาเม็ดสารกัมมันตภาพรังสีใส่เข้าไปในตัวผู้ป่วย ผ่านอุปกรณ์เช่น ในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก มะเร็งมดลูก นั้น เมื่อนำเม็ดรังสีออกผู้ป่วยก็จะไม่มีรังสีติดตัวเช่นเดียวกัน และสามารถกลับบ้านได้หลังจากถอดอุปกรณ์ออก

การปฏิบัติตัวในช่วงระหว่างการรักษา

  • เมื่อทราบการวินิจฉัยโรคผู้ป่วยอาจจะต้องพบกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านมะเร็งหลายท่าน เช่น ศัลยแพทย์ แพทย์รังสีรักษา และอายุรแพทย์ด้านมะเร็ง ผู้ป่วยสามารถซักถามถึงข้อมูลการรักษาได้ โดยทั่วไปผู้ป่วยมักต้องได้รับการรักษาหลายอย่างร่วมกัน เช่น โรคมะเร็งเต้านม ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก จากนั้นผู้ป่วยอาจได้รับการฉายรังสีและเคมีบำบัดเพิ่มเติม เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ในร่างกาย

ก่อนการรักษาด้วยการฉายรังสี

  • ในวันแรกผู้ป่วยจะได้พบกับแพทย์รังสีรักษา แพทย์จะทำการประเมินผู้ป่วยจากการถามประวัติ ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต โรคประจำตัว ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว ยาประจำตัว อาการแพ้ หลังจากนั้นจะตรวจร่างกายประเมินสภาพร่างกาย โดยในผู้ป่วยแต่ละรายนั้นจะมีการประชุมหารือเกี่ยวกับแนวทางการรักษาร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขา

ขั้นตอนการจำลองการฉายรังสี

  • เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การฉายรังสีต้องฉายไปที่ก้อนมะเร็งในทุกครั้ง จึงจำเป็นต้องมีการจำลองการฉายรังสีและกำหนดจุดการฉายรังสี เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถวางขอบเขตการฉายรังสีได้ตรงกันทุกครั้ง 
  • ในระหว่างการจำลองการฉายรังสี จะให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าทางเหมือนเวลาฉายรังสีจริง ๆ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะนำลวดมาวางบนตัวผู้ป่วยหรือบนเครื่องมือยึดตรึง เครื่องมือยึดตรึงผู้ป่วยอาจเป็นหน้ากาก ที่วางศีรษะ ที่วางแขน แผ่นโฟม เพื่อให้ผู้ป่วยอยู่ในตำแหน่งเดิมในทุก ๆ วันของการฉายรังสี หลังจากนั้นจะสแกนภาพด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) และอาจใช้ภาพสะท้อนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ร่วมด้วย เพื่อนำภาพมาวางแผนการฉายรังสี  จากนั้นเจ้าหน้าที่จะวาดขอบเขตการฉายรังสีด้วยหมึกบนหน้ากากหรือบนตัวผู้ป่วย ซึ่งสามารถลบออกได้ในภายหลังจากการฉายรังสีเสร็จสิ้นแล้ว

ขั้นตอนการฉายรังสี

  • เมื่อผู้ป่วยจำลองการฉายรังสีเสร็จแพทย์รังสีรักษาและนักฟิสิกส์การแพทย์ จะนำภาพทั้งหมดไปวางแผนการฉายรังสี โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้ได้แผนการฉายรังสีที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

การประเมินก่อนการฉายรังสี

  • เมื่อทีมแพทย์ได้แผนการฉายรังสีที่ดีที่สุดแล้ว ทางทีมฟิสิกส์การแพทย์จะมีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องฉายรังสี วิธีการฉายรังสีและแผนการฉายรังสีอีกครั้งเพื่อป้องกันความผิดพลาด และให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ป่วยมากที่สุดก่อนการฉายรังสีจริง

ในระหว่างการฉายรังสี

  • การฉายรังสีแต่ละครั้งผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บ หรือแสบร้อนที่ผิว แต่รังสีจะผ่านเข้าไปยังก้อนมะเร็ง การฉายรังสีแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 5-15 นาที ในการจัดท่าทางและใส่อุปกรณ์เครื่องมือยึดตัว และจัดตำแหน่งการฉายรังสี เมื่อจัดท่าทางได้ตามที่กำหนดไว้แล้ว นักรังสีการแพทย์จะออกจากห้องและไปยังบริเวณห้องควบคุม เพื่อทำการฉายรังสี และดูผู้ป่วยผ่านกล้องวงจรปิด นอกจากนี้ยังมีไมโครโฟนและลำโพง ซึ่งผู้ป่วยสามารถสื่อสารโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ห้องควบคุมได้  ในระหว่างการฉายรังสีหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นสามารถหยุดการฉายรังสีและเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันที 
  • โดยทั่วไประยะเวลาในการฉายรังสีแต่ละครั้งโดยรวมจะประมาณ 10-40 นาที ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลสามารถกลับบ้านได้หลังฉายรังสีเสร็จ ดังนั้นผู้ป่วยจึงไม่ต้องหยุดงานและสามารถให้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่นได้
  • ระหว่างการฉายรังสี หัวเครื่องฉายรังสีจะเคลื่อนที่ไปมาเพื่อให้ลำรังสีพุ่งตรงไปยังก้อนมะเร็งและจะมีเสียงในระหว่างที่เครื่องปล่อยรังสีออกมา
  • แพทย์รังสีรักษามีการตรวจประเมิน เพื่อดูการตอบสนองต่อการรักษา เป็นระยะ ๆ หากก้อนมะเร็งยุบลงมาก ๆ อาจต้องมีการจำลองการรักษาอีกครั้งเพื่อวางแผนการรักษาใหม่ ในบางครั้งอาจต้องหยุดฉายรังสีชั่วคราว ถ้าผู้ป่วยเกิดผลข้างเคียงจากการฉายรังสีมาก อย่างไรก็ตามถ้าไม่มีปัญหา ผู้ป่วยควรได้รับการฉายรังสีอย่างต่อเนื่อง โดยปกติทั่วไปการฉายรังสีจะฉาย 5 วัน ต่อสัปดาห์ หยุด 2 วัน และต้องฉายติดต่อกันตั้งแต่ 1 ถึง 8 สัปดาห์ ซึ่งจำนวนครั้งของการฉายรังสีขึ้นอยู่กับขนาด ชนิดของโรคมะเร็ง สภาพร่างกายของผู้ป่วย แผนการรักษาหรือมีการรักษาอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่
  • ในบางครั้งมีการฉายรังสีเพิ่มเติม (Boost) ที่ก้อนมะเร็ง เพื่อเพิ่มปริมาณรังสี ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องได้รับยาเคมีบำบัดและการฉายรังสีร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้เซลล์มะเร็งไวต่อการฉายรังสีมากขึ้น

การตรวจทุกสัปดาห์

  • ช่วงระหว่างการฉายรังสี แพทย์รังสีรักษาจะพบผู้ป่วยทุกสัปดาห์เพื่อประเมินผลข้างเคียง แนะนำวิธีปฏิบัติและตอบคำถามที่ผู้ป่วยและญาติสงสัย แพทย์อาจมีการเปลี่ยนแปลงตารางการฉายรังสีได้ ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อการรักษาและตัวโรค

การตรวจติดตามหลังการรักษา

  • หลังการรักษาผู้ป่วยจะได้รับบัตรนัดเพื่อมาติดตามผลการรักษา โดยอาจมีการตรวจเลือดและการตรวจวินิจฉัยอื่น ๆ มาประกอบการตรวจรักษา และรายงานการตรวจประเมินให้แพทย์อื่น ๆ ในทีมได้รับทราบ ในช่วง 2-3 ปี แรก จะมีการตรวจติดตามค่อนข้างบ่อย แต่จะห่างขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งนี้หากผู้ป่วยประสบปัญหาก่อนถึงวันที่นัดหมายไว้สามารถขอพบและติดต่อแพทย์และทีมการรักษาได้

การดูแลตัวเองในช่วงการฉายรังสี

  • พักผ่อนให้มาก ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลียในช่วงฉายรังสี ควรพักผ่อนอย่างเต็มที่ อาจให้ครอบครัวและญาติของผู้ป่วยเป็นผู้ติดต่อดำเนินการเรื่องการรักษาและช่วยเตรียมเรื่องอาหาร ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องกังวลกับสิ่งรอบตัว และสนใจแต่เรื่องสุขภาพ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายหรือทำกิจวัตรประจำวันที่ไม่เหนื่อยเกินไปได้ตามปกติ
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ และอาหารที่มีพลังงานสูงในช่วงการรักษา เช่น ไข่ขาว เนื้อสัตว์ ปลา ดื่มน้ำมาก ๆ ไม่ควรลดน้ำหนัก
  • ดูแลบริเวณที่ได้รับการฉายรังสี บริเวณฉายรังสีมีความบอบบางเป็นพิเศษ อาจมีอาการอักเสบได้ มีวิธีปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้

» ทำความสะอาดทุกวันด้วยน้ำอุ่น ไม่ควรฟอกสบู่ในบริเวณที่ขีดเส้น เนื่องจากจะทำให้เส้น ที่ขีดไว้ลบเลือนไป

» หลีกเลี่ยงการใช้โลชั่น น้ำหอม แป้ง และเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพราะจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น

» หลีกเลี่ยงการประคบเย็นประคบร้อนบริเวณฉายรังสี

» หลีกเลี่ยงแสงแดด ควรสวมเสื้อผ้าหรือหมวกเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด

สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับเคมีบำบัด

การรักษาโรคมะเร็งมีวิธีการใดบ้าง

ในปัจจุบัน การรักษาโรคมะเร็งมี 2 วิธีหลักดังต่อไปนี้

1. การรักษาเฉพาะที่ที่ก้อนมะเร็ง ได้แก่ การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก และการใข้รังสีรักษาฉายที่บริเวณก้อนมะเร็ง

2. การรักษาโดยการใช้ยา ได้แก่ ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) ยาฮอร์โมน (Hormonal Therapy) และยาที่จำเพาะต่อโมเลกุลเป้าหมายในการเกิดมะเร็งหรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า ยามุ่งเป้า (Molecular-targeted Therapy)

เคมีบำบัดคืออะไร

เคมีบำบัดคือ ยาที่มีผลในการทำลายหรือฆ่าเซลล์มะเร็งในร่างกาย เป็นวิธีการรักษาที่มีผลทั่วร่างกาย ซึ่งแตกต่างจากการผ่าตัดและรังสีรักษา โดยเคมีบำบัดจะมีผลทำลายเซลล์ที่มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งของเซลล์มะเร็ง ทำให้เกิดความเสียหายต่อสารพันธุกรรม (DNA) ในเซลล์ หรือยับยั้งกระบวนการปรกติที่เกิดภายในเซลล์ ทำให้เซลล์ไม่สามารถแบ่งตัว เป็นผลให้เซลล์ตาย

การรักษาด้วยเคมีบำบัด มีข้อบ่งชี้ดังนี้

1. ในกรณีที่เป็นมะเร็งระยะแพร่กระจาย

1.1 เคมีบำบัดสามารถทำให้โรคหายได้ในมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

มะเร็งเซลล์สืบพันธุ์ที่อัณฑะหรือรังไข่

1.2 เคมีบำบัดสามารถยืดระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ให้ยาวนานขึ้น ลดอาการที่เกิดจากโรค ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

2. ในกรณีที่เป็นมะเร็งระยะแรก แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีการแพร่กระจาย เคมีบำบัดสามารถใช้เป็นการรักษาเสริมก่อนหรือหลังการผ่าตัด เพื่อเพิ่มโอกาสในการหายขาดจากโรคให้มากขึ้น

การรักษาด้วยเคมีบำบัดทำได้อย่างไร

การรักษาด้วยเคมีบำบัด ส่วนใหญ่ให้ยาเข้าสู่ร่างกายโดยการฉีด หรือผสมกับสารน้ำให้ทางหลอดเลือดดำ โดยทั่วไปมักจะให้ยาตั้งแต่ 1 ชนิดขึ้นไป และมีลักษณะการให้ยาเป็นรอบๆ เพื่อให้เซลล์ปรกติของร่างกายได้พักและฟื้นตัวจากเคมีบำบัด แต่ละรอบมีระยะเวลาห่างกันประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยการให้ยาในแต่ละรอบ อาจใช้เวลาในการให้ยาเป็นนาที ชั่วโมง หรือต้องให้ยาต่อเนื่องกันมากกว่า 1 วันขึ้นไป การให้ยาเคมีบำบัดสามารถรักษาได้แบบผู้ป่วยนอกแบบไป-กลับ การให้ยาบางสูตรต้องได้รับยาต่อเนื่องนานหลายชั่วโมงหรือหลายวัน จึงต้องได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยใน ส่วนจำนวนรอบของการให้ยา ขึ้นกับชนิดของมะเร็งที่รักษา นอกจากนี้ มียาเคมีบำบัดบางชนิดสามารถให้ยาโดยการรับประทานได้

ผลข้างเคียงที่เกิดจากเคมีบำบัดมีอะไรบ้าง

เนื่องจากเคมีบำบัดไม่สามารถจำแนกแยกแยะระหว่างเซลล์มะเร็งและเซลล์ปรกติในร่างกาย ทำให้มีผลข้างเคียงของการรักษาซึ่งเกิดจากผลจากเคมีบำบัดต่อเซลล์ปรกติ โดยเฉพาะเซลล์ที่มีการแบ่งตัวอยู่ตลอดเวลา ได้แก่ เซลล์เม็ดเลือด เซลล์ผิวหนัง หรือเยื่อบุทางเดินอาหาร ผลข้างเคียงอาจเกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ ภายหลังการได้รับยา เป็นอยู่ชั่วคราว มีอาการดีขึ้นภายในช่วงเวลาเป็นวันหรือสัปดาห์ ผลข้างเคียงบางอย่างอาจเกิดขึ้นในระยะยาวภายหลังจากได้รับเคมีบำบัดครบไปนานเป็นเดือนหรือปี

ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังได้รับยาที่พบได้บ่อยของเคมีบำบัด มีดังต่อไปนี้

1. การกดการทำงานของไขกระดูก ซึ่งทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกร็ด

เลือด ทำให้มีเม็ดเลือดลดต่ำลง

1.1 เม็ดเลือดขาวต่ำ มักเกิดภายหลังจากที่ได้รับเคมีบำบัดประมาณ 7-14 วัน ทำให้ร่างกายมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ อาการแสดงที่สำคัญ คือ ไข้ หรือมีอาการหนาวสั่น อ่อนเพลีย อาการไข้ภายหลังจากได้

รับเคมีบำบัดเป็นอาการที่ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์ทันที ไม่ควรซื้อยารับประทานเองโดยไม่มาโรงพยาบาล

1.2 เม็ดเลือดแดงต่ำ ทำให้เกิดภาวะซีด อ่อนเพลีย มักเกิดภายหลังจากที่ได้รับเคมีบำบัดหลาย ๆ รอบ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะซีดมากและมีอาการ อาจต้องให้การรักษาโดยการให้เลือด

1.3 เกร็ดเลือดต่ำ พบได้สำหรับยาเคมีบำบัดบางชนิด ถ้าเกร็ดเลือดอยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้มีภาวะเลือดออกง่าย หยุดยาก อาจมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์ถ้ามีอาการเลือดออกผิดปรกติ

2. อาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ซึ่งเกิดขึ้นมากน้อยแตกต่างกันแล้วแต่ชนิดของเคมีบำบัดที่ได้รับ การดูแลรักษาที่สำคัญ คือการป้องกัน โดยให้ยาแก้คลื่นไส้ อาเจียนชนิดฉีดก่อนให้ยาเคมีบำบัด และให้ยาแก้คลื่นไส้ชนิดกินเพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้ อาเจียนที่อาจเกิดขึ้นในช่วง 3-5 วันแรกหลังจากได้รับเคมีบำบัด ในปัจจุบันยาแก้คลื่นไส้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น สามารถลดอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้มาก

3. อาการทางผิวหนัง ได้แก่ ผมร่วง ซึ่งเกิดขึ้นมากน้อยแตกต่างกันแล้วแต่ชนิดของเคมีบำบัดที่ได้รับ ยาบางชนิดทำให้ผมร่วงน้อยมาก ในขณะที่ยาบางชนิดทำให้ผมร่วงหมดศีรษะ โดยทั่วไปผมจะเริ่มร่วงหลังจากได้รับยาครั้งแรกประมาณ 2-3 สัปดาห์ และผมจะเริ่มงอกขึ้นใหม่หลังจากได้รับยาครั้งสุดท้ายไปแล้ว 2-3 สัปดาห์ อาการทางผิวหนังอื่น ๆ ได้แก่ ผิวหนังหรือหลอดเลือดบริเวณที่ให้ยามีสีคล้ำขึ้น ผิวหนังบริเวณฝ่ามือและเท้าอักเสบ มีการเปลี่ยนแปลงของเล็บ เล็บเปราะ สีคล้ำ มีลายเส้นที่เล็บ ซึ่งจะหายไปหลังจากหยุดยา

ผลข้างเคียงอื่นๆ ที่พบได้จากยาเคมีบำบัดบางชนิด ได้แก่ อาการเจ็บภายในช่องปาก มีแผลในปาก ท้องเสียซึ่งสามารถให้ยารักษาเพื่อบรรเทาอาการได้ นอกจากนี้ เคมีบำบัดอาจมีผลต่อเซลล์สืบพันธุ์ ทำให้ผู้ป่วยในวัยเด็กหรือวัยเจริญพันธุ์ อาจมีโอกาสมีบุตรยากในอนาคต เคมีบำบัดบางชนิดมีผลต่อเส้นประสาทส่วนปลาย ทำให้มีอาการชาปลายมือและเท้า

ผลข้างเคียงต่างๆ มีผลทำให้เกิดความไม่สุขสบายแก่ผู้ป่วยในช่วงหลังจากได้รับยาเคมีบำบัด ดังนั้น ก่อนให้การรักษา แพทย์และทีมผู้รักษาจะอธิบายผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับประโยชน์ที่จะได้รับจากการรักษาด้วยเคมีบำบัด รายละเอียดของผลข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละชนิดหรือสูตรของเคมีบำบัดที่ใช้รักษา รวมทั้งวิธีการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย และให้การดูแลรักษาถ้ามีผลข้างเคียงที่รุนแรงเกิดขึ้น

การรักษาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง Targeted Therapy

การรักษาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (Targeted Therapy) เป็นการรักษาโรคมะเร็งโดยใช้ยาหรือสารบางอย่างเพื่อไปยับยั้งกระบวนการแบ่งตัวหรือการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง โดยจะไปยับยั้งโมเลกุลสัญญาณ (Molecular Signaling) ซึ่งมีหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งชนิดนั้น ๆ ทำให้เซลล์มะเร็งหยุดการเจริญเติบโตหรือตาย (Apoptosis) ไป ยาจะออกฤทธิ์โดยไปจับและยับยั้งการสร้างโมเลกุลสัญญาณของเซลล์มะเร็งเท่านั้น โดยไม่มีผลกับเซลล์ปกติของร่างกาย

ชนิดของมะเร็งที่สามารถรักษาด้วย Targeted Therapy

ปัจจุบัน targeted therapy สามารถใช้ในการรักษามะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับ มะเร็งไต เป็นต้น แต่ทั้งนี้การใช้ Targeted Therapy ในการรักษาโรคมะเร็งบางชนิด ต้องมีการตรวจหายืนที่ผิดปกติ ที่เป็นตัวสร้างโมเลกุลสัญญาณที่จำเพาะเจาะจงในผู้ป่วยแต่ละคน ว่ามีหรือไม่ และเป็นชนิดใด จึงจะสามารถพิจารณาเลือกใช้ยา Targeted Therapy ได้อย่างเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ดังนั้นการรักษาด้วย Targeted Therapy จึงเป็นการรักษาที่มีความจำเพาะเจาะจงสูง ซึ่งจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย

ประเภทของยาในกลุ่ม Targeted Therapy

ยาในกลุ่ม Targeted Therapy แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

1. Monoclonal Antibodies ออกฤทธิ์โดยจับกับเป้าหมายที่อยู่ภายนอกเซลล์หรือบนผิวเซลล์แล้วจึงทำลายเซลล์มะเร็ง หรือทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้

2. Small Molecules เป็นยาที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถผ่านเข้าสู่เยื่อหุ้มเซลล์ จึงสามารถจับกับเป้าหมายทั้งที่อยู่ภายในเซลล์และบนผิวเซลล์ได้

เป้าหมายของการรักษาด้วย Targeted Therapy

เป้าหมายของการรักษามะเร็งด้วยวิธี targeted therapy นั้น ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรคมะเร็งในผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งโดยหลัก ๆ แบ่งออกเป็น

– รักษาโรคมะเร็งให้หายขาด (Curative) ในมะเร็งระยะเริ่มต้น

– การรักษาแบบประคับประคอง (Palliative) ในโรคมะเร็งระยะแพร่กระจาย

วิธีการรักษาด้วย Targeted Therapy ขึ้นกับชนิดของยา ซึ่งได้แก่

– ยาชนิดรับประทาน

– ยาชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ

โดยอาจใช้ขา Targeted Therapy เป็นยาเดี่ยว ให้ร่วมกับยาเคมีบำบัด หรือร่วมกับการฉายแสงก็ได้ ตามที่แพทย์ผู้รักษาเห็นสมควร

การรักษาด้วย Targeted Therapy ต้องใช้เวลานานเท่าใด?

ระยะเวลาในการรักษาด้วย Targeted Therapy ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะเวลาของโรคมะเร็งนั้น ๆ เช่น ในโรคมะเร็งเต้านมชนิดเฮอร์ทูเป็นบวกระยะเริ่มต้น อาจพิจารณาให้ยา Targeted Therapy นาน 6 – 12 เดือนหลังผ่าตัด แต่ถ้าเป็นมะเร็งระยะแพร่กระจาย มักพิจารณาให้ยา Targeted Therapy ไปจนกว่าจะเกิดภาวะดื้อยา หรือผู้ป่วยไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยาได้

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

แม้ว่าการรักษามะเร็งแบบ Targeted Therapy โดยทั่วไปจะมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการให้ เคมีบำบัด แต่ก็ยังมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามชนิดและขนาดของ Targeted Therapy ที่ได้รับ ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น อาการทางผิวหนัง ผิวหนังอักเสบ มีผื่นขึ้นคล้ายสิว ท้องเสีย หัวใจบีบตัวผิดปกติ ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ซึ่งแพทย์ผู้รักษาจะให้คำแนะนำและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป

การติดตามผล

ผู้ป่วยควรพบแพทย์ตามนัด เพื่อติดตามผลการรักษา ทั้งการตอบสนองต่อยาและความปลอดภัยของการใช้ยา