สถาบันมะเร็งแห่งชาติ, มกราคม 2563
มะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งของผู้หญิงไทย และมีอุบัติการณ์การเกิดโรคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มะเร็งเต้านมเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ที่อยู่ภายในท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม เซลล์เหล่านี้มีการแบ่งตัวผิดปกติไม่สามารถควบคุมได้ มักแพร่กระจายไปตามทางเดินน้ำเหลืองไปสู่อวัยวะที่ใกล้เคียง
ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมยังไม่พบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด แต่พบปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคได้มากขึ้น เช่น
- อายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป
- พันธุกรรม ประวัติการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ หรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกในญาติสายตรง
- การสูบบุหรี่
- การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- การไม่มีบุตร หรือมีบุตรคนแรกหลังอายุ 30 ปี และการไม่ให้นมบุตร
- การใช้ฮอร์โมนเพศหญิงทดแทนเป็นเวลานาน มากกว่า 5 ปี
- ผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน หรือมีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 25
- การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย
อาการของมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมในระยะแรกอาจไม่มีอาการแสดงชัดเจน ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยการคลำพบก้อน หรืออาจสังเกตได้จากขนาดหรือรูปร่างของเต้านมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น
- คลำพบก้อน บริเวณเต้านมหรือรักแร้
- ผิวหนัง บริเวณเต้านมถูกดึงรั้ง หรือเป็นรอยนุ่ม
- มีแผลเรื้อรังบริเวณหัวนม
- มีน้ำหรือสารคัดหลั่งออกทางหัวนม
- เต้านมบิดเบี้ยวผิดรูป
ระยะของมะเร็งเต้านม
ระยะความรุนแรงของโรคมะเร็งเต้านมแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนมะเร็ง การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปสู่ต่อมน้ำเหลือง หรืออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่าการตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะที่ 1-2 อัตราการอยู่รอด ที่ 5 ปี สูงถึง 85-99% แต่หากตรวจพบในระยะที่ 3 อัตราการอยู่รอดมีเพียง 4 -60% และจะลดลงเหลือ 18-20% หากตรวจพบในระยะที่ 4 ดังนั้นการตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มต้นจะทำให้โอกาสที่จะรักษาให้หายขาดมีสูงขึ้น
การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม
วิธีการตรวจคัดกรองเพื่อค้นหามะเร็งเต้านม มีอยู่ 3 วิธี ได้แก่ การตรวจเต้านมด้วยตนเอง (breast self examination : BSE) การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรม (clinical breast examination: CBE) และการตรวจด้วยเครื่องถ่ายภาพรังสีเต้านม (mammography: MM)จากข้อมูลหลักฐานวิชาการ การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมระดับประชากร (mass screening) สรุปได้ดังนี้
ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปควรเริ่มตรวจเต้านมด้วยตนเองเดือนละครั้ง และควรจะต้องได้รับการบอกถึงประโยชน์และข้อจำกัดของการตรวจเต้านมด้วยตนเอง รวมทั้งได้รับการสอนการตรวจเต้านมด้วยตนเองที่ถูกวิธี และหากมีอาการที่สงสัยควรมีการตรวจโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรม
ผู้หญิงที่มีอายุ 40-69 ปี และไม่มีอาการ นอกจากการตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำแล้ว ควรได้รับการตรวจโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมทุก 1 ปี
ผู้หญิงที่อายุ 70 ปีขึ้นไป การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมในผู้หญิงกลุ่มนี้ให้พิจารณาเป็นรายบุคคล โดยพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของประโยชน์และอัตราการเสี่ยงของการตรวจด้วยเครื่องถ่ายภาพรังสีเต้านมในเรื่องของสภาวะสุขภาพในขณะนั้นและการมีชีวิตอยู่ต่อไป (life expectancy)
วิธีการรักษามะเร็งเต้านม
ปัจจุบันวิธีการรักษามะเร็งเต้านมมีหลายวิธีที่ได้ผลดีและเป็นที่ยอมรับ เช่น
- การผ่าตัด
- การฉายแสง (รังสีรักษา)
- การให้ยาต้านฮอร์โมน
- การให้ยาเคมีบำบัด
- การรักษาโดยยาที่มีการออกฤทธิ์จำเพาะ
การรักษามะเร็งเต้านมอาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน โดยอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของทีมแพทย์และความต้องการของผู้ป่วยเพื่อให้การวางแผนการรักษาผู้ป่วยได้รับประโยชน์สูงสุด เช่น ผ่าตัดก่อน หลังจากแผลหายจึงให้ยาเคมีบำบัด ต่อจากนั้นรักษาโดยการฉายแสงร่วมกับการให้ยาต้านฮอร์โมน ทั้งนี้ขึ้นกับระยะของโรค อายุและสุขภาพของผู้ป่วย เป็นต้น
ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านม
- ตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือนตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป
- หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง อาหารที่มีสารปนเปื้อน อาหารปิ้ง ย่าง รมควัน และไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ผู้หญิงกลุ่มเสี่ยง ควรเอาใจใส่ในการตรวจเต้านมเป็นพิเศษ และควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์เพิ่มเติม
- รับการตรวจเต้านมโดยบุคลากรทางการแพทย์ทุกปี เมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป
- รับการตรวจเต้านมโดยเครื่องเอกซเรย์เต้านม (Mammography)ทุก 1-2 ปี เมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป
หากจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนทดแทน ควรอยู่ในความควบคุมของแพทย์