ภาชนะใส่อาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง สำคัญแค่ไหน?

คำตอบจาก รศ.นพ. ศรีชัย ครุสันธิ์ จากงานเสวนา พลิกมุมมองใหม่ เพื่อรับมือกับโรคมะเร็ง ครั้งที่ 4 ณ โรงพยายาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น


“ในความเป็นจริงแล้วเรื่องอาหารก็มีส่วนในการเกิดมะเร็งหลายๆ อย่าง ทั้งในส่วนสุขภาพและภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพราะฉะนั้น ถ้าไปรับสารอาหารที่มีส่วนในการสนับสนุนที่ก่อให้เกิดมะเร็งก็ทำให้เป็นมะเร็งได้ และยิ่งเรากำลังรักษาอยู่แล้ว ยังรับสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในร่างกาย นอกจากโรคมันจะไม่หาย และยังกลับคืนมาใหม่ได้อีก อย่างไรก็ตามโดยธรรมชาติของคนเราต้องการสารอาหารครบกลุ่ม ถ้าเราขาดสารอาหารก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ภูมิคุ้มกันแย่ลง โรคมะเร็งก็จะลุกลามไปได้ อีกทั้งการทนต่อการรักษาเช่น ฉายแสง ทำคีโมก็จะแย่ลง”

ในส่วนของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งโพรงมดลูก เราไม่แนะนำอาหารเช่น พวกอาหารที่มีไขมันสูง เพราะในไขมันมีคอเลสเตอรอล ซึ่งมีส่วนในการที่เอาไปสร้างฮอร์โมนทางเพศ นั่นคือ เอสโตรเจน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดมะเร็งเต้านม เพราะฉะนั้นอาหารพวกที่มันๆ ทอดๆ ก็ควรลดหรือหลีกเลี่ยง แต่ไม่ใช่ไม่ให้กินเลย เพราะว่าร่างกายต้องการไขมันเหมือนกันเพื่อไปใช้ในการสร้างพลังงาน


นอกจากอาหารแล้ว ยังมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับที่เจือปนมากับอาหาร ที่เป็นสารเคมี และยา ที่บางทีเราไม่รู้ตัว เช่น การกินยาคุมกำเนิด เป็นยาฮอร์โมนเพศ ซึ่งมีเอสโตรเจนที่กระตุ้นให้เกิดมะเร็งเต้านม มะเร็งโพรงมดลูกได้

“สารเคมีที่เจือปนมากับสิ่งที่เราทาน ยกตัวอย่าง เช่น ภาชนะที่เราใส่อาหารและน้ำที่เป็นพวกพลาสติกใส มันมีสารพวกโพลีคาบอร์เนต ซึ่งมีสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งหรือ BPA อยู่ สารพวกนี้จะละลายออกมาเมื่อโดนความร้อน เพราะฉะนั้นภาชนะที่เราใส่พวกน้ำ หรืออาหารในพลาสติกใส ถ้ามันโดนความร้อน สาร BPA มันจะละลายออกมา ถ้ามันเย็นๆ ไม่เป็นไร แต่ว่าถ้าเราเอาไปตากแดด หรือต้มน้ำร้อนๆ กรอกใส่ลงไป แล้วเราไปกิน หรือเวลาเราไปร้านสะดวกซื้อ แล้วซื้ออาหารที่มันอยู่ในกล่องโฟม กล่องพลาสติก แล้วเอามาเข้าไมโครเวฟ พอโดนความร้อนมันก็ละลายออกมาในอาหาร เรากินเข้าไปมันก็สะสมๆ สุดท้ายเราก็อาจเป็นมะเร็งได้”

“สังเกตได้ว่ามะเร็งมดลูก เต้านมในบ้านเรา เมื่ออดีต 10 ย้อนหลังไปเจอน้อยมาก แต่พอ 10 ปีผ่านมาเนี่ยเพิ่มขึ้นเยอะ พอเรามาย้อนดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็จะเห็นว่ายุคปัจจุบันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนขวด หรือภาชนะต่างๆ เราใช้แก้ว แต่เดี๋ยวนี้แก้วหายาก ราคาแพง เก็บยาก สมัยนี้เราจึงใช้พลาสติกหมดเลย ไม่ว่าจะใส่น้ำ น้ำปลา น้ำมัน น้ำส้ม ใส่อาหารทุกอย่าง เราใช้พลาสติกหมดเลย ใช้แล้วก็โยนทิ้งไปเป็นขยะ 100 ร้อยปีกว่าจะสลาย บางทีใช้หมดแล้ว แล้วก็เสียดายเอาไปใช้ต่อ ใช้กรอกน้ำร้อนที่บ้าน แทนที่จะปล่อยให้มันเย็นก่อน เราก็จะได้รับสารนี้ปนเปื้อนมาได้”

แม้กระทั้งในเด็กเล็กทารก บางทีเราไปซื้อขวดนมแต่ขวดนมราคาถูกบางยี่ห้อเป็นขวดนมที่คุณภาพต่ำ ใช้วัสดุโพลีคาร์บอเนต เพราะฉะนั้นการใส่น้ำร้อนเพื่อชงนมให้ลูก ลูกก็จะได้สารนั้นตั้งแต่แบเบาะ สารพวกนี้มันเป็นสารคลายคลึงฮอร์โมน หากเด็กผู้หญิงได้รับฮอร์โมนเพศตั้งแต่เด็กๆ ก็จะโตก่อนวัย เจริญเติบโตได้ไม่ดี ตกไข่ มีประจำเดือนตั้งแต่อายุยังน้อย ผู้ชายที่ได้รับฮอร์โมนเพศหญิงตั้งแต่ตอนแบเบาะ โตขึ้นจะเป็นอย่างไร

“และอีกสารหนึ่งคือ สารฟอกสีที่เจือปนในน้ำ โดยเฉพาะในบ้านเรามีโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมากมาย ที่เขาใช้สารฟอกสี หรือที่เรียกว่าไดออกซิน เช่น โรงงานทำผงซักฟอก โรงงานย้อมผ้า โรงงานทำเยื่อกระดาษ พอปล่อยลงท่อระบายน้ำเข้าไปในแม่น้ำลำคลอง เราเอาน้ำนั้นมาใช้ เราก็จะได้รับสารพวกนี้ แล้วสารพวกนี้มันไม่สลาย เอาไปต้มไม่สลาย เอามากรองก็ไม่ออก มันคงตัว ซึ่งสารตัวนี้ก่อให้เกิดมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งโพรงมดลูก มะเร็งตับได้ สังเกตว่าในขอนแก่นคนเป็นมะเร็งตับเยอะที่สุด อัตราการเป็นมะเร็งตับในโลกประมาณ 80 ต่อ 100,000 คน แต่ขอนแก่น 180 : 100,000 คน เยอะมากเพราะว่าสารไดออกซินตัวนี้แหละ เพราะฉะนั้นเนี่ย เราก็ต้องระมัดระวัง ทั้งเรื่องอาหาร ภาชนะและน้ำที่ ต้องพิถีพิถันหน่อยครับ”