ฤทธิชัย-ฤดีชนก รุ่งเรืองไมตรี โลกเปลี่ยนในวันที่พ่อป่วย

“เราไม่ใช่พ่อลูกที่สนิทกันเท่าไหร่” 

เจสซี่-ฤดีชนก รุ่งเรืองไมตรี อาจารย์สาขาการบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ลูกสาวคนโตเกริ่นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับ คุณพ่อสจ๊วต-ฤทธิชัย รุ่งเรืองไมตรี หุ้นส่วนชีวิตและธุรกิจของ คุณแม่ต๊ะ-รัตนา รุ่งเรืองไมตรี นักธุรกิจที่คร่ำหวอดอยู่ในอุตสาหกรรมรองเท้าในเมืองไทยมากว่า 30 ปี ผู้ปลุกปั้น บริษัท โทโซน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (https://www.tzretail.com/tha/main) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายรองเท้าเด็ก รวมถึงธุรกิจ OEM รับออกแบบและผลิตรองเท้าทั่วไปให้กับแบรนด์ต่างๆ ของไทย 

ย้อนหลังกลับไปเมื่ออายุ 17 ปี คุณพ่อสจ๊วตได้พบกับคุณแม่ต๊ะเป็นครั้งแรกในฐานะเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกัน และหลังจากจบต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปตามความฝัน จนล่วงเข้าสู่วัยทำงานทั้งสองได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ก่อนจะตกลงใช้ชีวิตร่วมกัน และหลังจากนั้นไม่นานคุณแม่ต๊ะก็ตัดสินใจเปิดธุรกิจรองเท้าเป็นครั้งแรก ก่อนที่คุณพ่อสจ๊วตจะลาออกจากงานประจำและมาร่วมกันลุยสร้างธุรกิจนี้ด้วยกันในปีถัดมา โดยคุณแม่จะเป็นผู้ออกแบบและดูแลควบคุมการผลิตรองเท้าทั้งหมด ขณะที่คุณพ่อรับผิดชอบเรื่องการเงิน การตลาด รวมถึงเอกสารต่างๆ ทางธุรกิจ ทั้งสองค่อยๆ ก่อร่างสร้างธุรกิจพร้อมๆ กับฟูมฟัก ‘ลูกสาว’ คนโตของบ้าน  

คุณพ่อสจ๊วต : ด้วยความที่พ่อมาจากครอบครัวที่ไม่มีพี่สาวหรือน้องสาวเลย พอได้มาเป็น ‘พ่อ’ ที่มีลูกสาวสองคน ทำให้เราไม่รู้วิธีดูแลหรือพูดคุยกับลูกๆ เลย ทุกอย่างจึงต้องผ่านแม่หมด เช่น เวลาลูกๆ ไปไหนแล้วอาจจะกลับช้า เราก็จะอดเป็นห่วงไม่ได้ เราก็จะใช้วิธี ‘แม่โทรตามลูกสิ…อยู่ไหนแล้ว’ เพราะแม่ต๊ะจะรู้ว่าควรพูดคุยกับลูกๆ แบบไหน ซึ่งนิ่มนวลกว่าพ่อแน่นอน นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พ่อจะไม่ค่อยพูดคุยหรือแสดงออกถึงความรักกับลูกๆ เท่าไร แต่ไม่ใช่ไม่รักนะ  

ณ วันที่เจสซี่เกิดนั้น พ่อกับแม่คุยกันว่า ลูกจะเป็นเสมือนตัวแทนแห่งความรัก เราจึงตั้งชื่อให้ลูกสาวคนแรกว่า ฤดีชนก ซึ่งมีความหมายว่า ดวงใจของพ่อ และด้วยความที่ตั้งแต่เล็กๆ เจสซี่จะเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนมาก ยอมคน ไม่ชอบขัดแย้งกับใคร พ่อกับแม่ก็จะเป็นห่วงเขามากว่า เขาจะใช้ชีวิตในสังคมข้างนอกไหวไหม เป็นห่วงสารพัด กระทั่งเขาเติบโตมา เราจึงได้รู้ว่าภาพที่อาจจะดูอ่อนโยน นิ่มนวล แต่ข้างในของเขาเข้มแข็งกว่าที่เราคิดไว้มาก เพราะในวันที่พ่อรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง จำต้องวางงานทุกอย่างลงและเข้าสู่การรักษาทันที โดยมีแม่ต๊ะเคียงข้าง เจสซี่นี่แหละที่เข้ามาซัปพอร์ตธุรกิจของครอบครัว แม้ตัวเขาเองจะไม่ได้อยากทำสักเท่าไร เพราะความฝันของเขาไกลกว่านั้น แต่เขาก็ทำได้อย่างดีจนพาครอบครัวผ่านวิกฤตครั้งนั้นมาได้

เจสซี่ : เรียกว่าเป็นช่วงวิกฤตของครอบครัวเราที่กินระยะเวลายาวนานกว่า 5-6 ปี เพราะก่อนหน้าที่คุณพ่อจะพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง คุณแม่เพิ่งหายจากวัณโรค และเราในฐานะของลูกสาวคนโตจำเป็นต้องหันกลับมาโฟกัสครอบครัวก่อน และพักความฝันต่างๆ ไว้ 

จำได้ว่า ทันทีที่คุณแม่มาบอกว่า ‘พ่อเป็นมะเร็ง’ เราช็อกเลย เพราะที่ผ่านมาในครอบครัวเราก็ไม่มีใครเคยเป็นมะเร็งมาก่อน นอกจากญาติห่างๆ ฝั่งคุณพ่อที่เคยได้ข่าวว่าเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ พอได้ยินคำว่า มะเร็ง ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะในความคิดเราตอนนั้น มะเร็งเป็นโรคที่รักษาไม่หาย มะเร็งเท่ากับตาย ทำให้เครียดอยู่พอสมควร  ยิ่งพอคุณพ่อเข้าสู่กระบวนการรักษา ช่วงนั้นเจสเรียนจบปริญญาโทแล้ว และกำลังตัดสินใจว่าจะเรียนต่อปริญญาโทใบที่สองด้านจิตวิทยา แต่ก็ต้องเบนเข็มกลับมาดูแลธุรกิจของครอบครัวก่อน ซึ่งยอมรับว่าเป็นภาวะที่หนัก เหนื่อย แต่หนีไปไหนไม่ได้ ยิ่งถ้าช่วงไหนผลการรักษาของคุณพ่อไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ ก็จะยิ่งเฟลหนัก รู้สึกว่า ทำไมชีวิต…มันยากอย่างนี้ แต่เราแสดงออกไม่ได้เลย บ่อยครั้งที่ต้องใช้วิธีระบายออกโดยการแอบร้องไห้ตอนขับรถออกไปส่งสินค้าตามสาขา เพื่อไม่ให้พ่อกับแม่เป็นห่วง หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องหันไปพึ่งนักจิตวิทยาที่ทางมหาวิทยาลัยเปิดให้บริการฟรีสำหรับนักศึกษา เพื่อจะผ่านวิกฤตในครั้งนั้นไปให้ได้

ในวันที่พ่อป่วย

คุณพ่อสจ๊วต : ย้อนหลังไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว พ่อเริ่มมีอาการผิดปกติทางร่างกาย คือ ขับถ่ายมีเลือดปนออกมา ตอนแรกก็เข้าใจว่าเป็นริดสีดวง จึงไปหายามากินเอง แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง คุณหมอก็แนะนำให้ส่องกล้องตรวจ แต่ด้วยราคาค่าตรวจที่สูงจึงปฏิเสธไป กระทั่งวันเกิดในปีนั้นเอง คุณหมอก็โทรศัพท์มาอวยพรวันเกิดพร้อมถามไถ่เรื่องสุขภาพว่า อาการเป็นอย่างไรบ้าง และถามว่า ไปส่องกล้องมาผลเป็นอย่างไร คิดว่าคุณหมอน่าจะรู้ว่าอาการที่เราเป็นนั้นคืออะไร แต่ท่านน่าจะไม่กล้าพูดจนกว่าจะได้ผลตรวจที่แน่ชัด พ่อจึงตัดสินใจไปตรวจส่องกล้องที่โรงพยาบาลเปิดใหม่แถวบ้าน เพราะที่นั่นมีแพ็กเกจราคาพิเศษ 

หลังจากตรวจส่องกล้องแล้ว คุณหมอก็แจ้งผลว่า ‘เป็นเนื้อร้าย’ ก่อนจะส่งต่อไปยังศัลยแพทย์ของโรงพยาบาล หลังจากไปคุยแล้วก็พบว่าค่าใช้จ่ายในการรักษานั้นค่อนข้างสูงทีเดียว และไม่แน่ใจว่าจะจบลงที่ตัวเลขนั้นจริงๆ หรือเปล่า จึงขอกลับมาคิดกันก่อน ระหว่างนั้นคุณหมอก็แนะนำให้ทำ MRI ก่อน เพื่อตรวจการแพร่กระจายของมะเร็ง ผลปรากฏว่าพบเนื้อร้ายที่ตับขนาดกว่า 16 เซนติเมตร คุณหมอจึงกำชับด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักว่า ‘ต้องรีบทำการรักษา’ ตอนนั้นพ่อกับแม่ตัดสินใจร่วมกันว่า คงต้องย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ 30 บาท คุณหมอก็ดีมาก เร่งเตรียมเอกสารผลการตรวจและข้อมูลการรักษาทั้งหมดให้

หลังจากกลับบ้านมาคืนนั้น พ่อกับแม่ก็นั่งกอดกันร้องไห้ คุยกันว่า จะเอาอย่างไรดี แม่ต๊ะก็บอกว่า เราจะสู้ไปด้วยกัน เราจะไม่ยอมแพ้ จากนั้นเขาก็เข้า Google เสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งลำไส้และมะเร็งตับว่า รักษากันอย่างไร และ ใช้ชีวิตหลังการรักษาอย่างไร จนพบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งไม่น้อยที่รักษาหายได้และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ พอแม่ต๊ะเห็นโอกาสนั้นก็พยายามหาข้อมูลสิทธิ์ในสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และวันรุ่งขึ้นเขาก็โทรไปคุยกับเจ้าหน้าที่ของ สปสช. จนได้รู้ว่ามีโครงการมะเร็งรักษาได้ทุกที่ หรือ Cancer Anywhere   ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หลังจากคุยกันในครอบครัว ก็ได้ข้อสรุปว่า เราจะเลือกไปรักษาตัวที่ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เพราะใกล้บ้านและเป็นโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในด้านการรักษามะเร็งอันดับต้นๆ ของเมืองไทย แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังรุนแรงในขณะนั้น ทำให้เราไม่สามารถจะเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลโดยตรงได้ ต้องติดต่อผ่านทางไลน์และโทรศัพท์ จนกระทั่งทางเจ้าหน้าที่ก็ตอบตกลงที่จะรับเราเข้าเป็นผู้ป่วยของทางโรงพยาบาล เพียงแต่เราต้องไปขอ ‘เอกสารส่งตัวผู้ป่วย’ จากทางโรงพยาบาลต้นสังกัดตามสิทธิบัตรทอง 30 บาทก่อน จึงจะเข้ารับการรักษาได้

เจสซี่ : วันที่ไปขอเอกสารส่งตัวที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ 30 บาท ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีคุณหมอเฉพาะทางด้านมะเร็งอยู่ท่านเดียว ทำให้ไปครั้งแรกไม่ได้เจอ ต้องรอคิวในอีก 4 วันถัดมา พอถึงวันนัดคุณหมอก็ดูเอกสารการตรวจต่างๆ และคำแรกที่คุณหมอพูดกับคุณแม่และคุณพ่อในวันนั้น คือ ‘โอ้โห…ทำไมใหญ่’ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคำพูดที่สร้างความรู้สึกไม่ดีและบั่นทอนกำลังใจคนป่วยมาก ก่อนจะตอกย้ำด้วยประโยคว่า ‘รู้ไหมว่าต้องผ่าตัดใส่ถุงทวารเทียมที่หน้าท้องไปตลอดชีวิต รับไหวเหรอ’ คุณแม่ก็ได้แต่ฟังด้วยความอดทน และพยายามจะเข้าใจว่า เธอคงจะเจอกับคนไข้ร้อยพ่อพันแม่ หรือเจอญาติคนไข้ที่พูดจาไม่ดีกับเธอ หรือเจอสถานการณ์บีบคั้นอื่นๆ มาก่อน ทำให้เธอพูดไม่ดีกับเรา 

จากนั้นคุณหมอก็ถามซ้ำๆ ว่า ‘แล้วยังไง…’ คุณแม่ก็บอกคุณหมอไปตามตรงว่า ‘อยากให้คุณหมอช่วยทำใบส่งตัวไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เพราะเราติดต่อไปแล้ว และรอใบส่งตัวจากที่นี่อยู่’ สิ่งที่คุณหมอผู้หญิงท่านนั้นตอบกลับมาก็คือ “ทางเราก็รักษาได้ และไม่รู้นะว่าจะส่งตัวไปรักษาต่อได้ไหม มันขึ้นอยู่กับผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะเซ็นอนุมัติให้หรือไม่ เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องเงิน” คุณแม่ก็อึ้ง พูดอะไรไม่ออก ได้แต่บอกเชิงขอร้องไปว่า ‘อย่างไร คุณหมอช่วยดูให้หน่อยนะคะ’ จากนั้นคุณหมอก็จะนัดให้กลับมาเจออีกในอีก 8 วันข้างหน้า ไม่ว่าแม่จะขอให้เร่งนัดอย่างไร คุณหมอท่านนั้นก็ได้แต่ตอบส่งๆ กลับมาว่า ‘ไม่รู้’ นั่นทำให้คุณแม่เดินออกมาจากห้องตรวจก่อนจะยืนน้ำตาไหลด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาก แต่คุณแม่ก็ไม่ยอมจำนน  

ด้วยความที่เราเป็นครอบครัวที่ทำธุรกิจ แน่นอนว่าก่อนจะทำอะไรก็ตาม เราจะไม่เชื่ออะไรง่ายๆ หรือเชื่อใครคนใดคนหนึ่ง จนกว่าเราจะได้ข้อมูลมาเยอะพอ เช่น ถ้าจะซื้อรถสักคัน เราจะไม่ดูแค่หนึ่งโชว์รูมแน่นอน เช่นกันกับเรื่องสุขภาพของพ่อซึ่งสำคัญกว่าการซื้อรถ เราก็ต้องยิ่งหาข้อมูลให้เยอะและไม่จำเป็นต้องเชื่อคุณหมอท่านใดท่านหนึ่ง ยิ่งเป็นคุณหมอที่พร้อมบั่นทอนกำลังใจในการรักษาก็ยิ่งต้องเปลี่ยนให้ไว บวกกับสภาพเศรษฐกิจในตอนนั้นทำให้ธุรกิจครอบครัวไม่ใช่ขาขึ้น กำลังทรัพย์จึงมีจำกัด ทำให้เรายิ่งต้องหาข้อมูลเพื่อให้มีทางเลือก เพราะบางครั้งการรักษาที่ดีที่สุดไม่จำเป็นต้องเป็นการรักษาที่แพงที่สุดเสมอไป นี่คือหลักที่ครอบครัวเราใช้ในการผ่านวิกฤติในครั้งนี้มาได้ เจสจึงอยากบอกทุกคนว่า เมื่อเป็นมะเร็งแล้วอย่าเพิ่งหมดหวังเพียงเพราะไม่มีเงิน ในประเทศนี้ยังมีสิทธิให้เราสามารถเข้าถึงการรักษาที่ดีได้ แค่เราต้องหาข้อมูลให้เยอะและอย่าหมดหวังกับแค่คำพูดของใครบางคน วันรุ่งขึ้นคุณแม่ก็โทรหา สปสช. อีกครั้ง และปรึกษาเจ้าหน้าที่ว่า ‘เจอสถานการณ์อย่างนี้ เราควรจัดการต่อไปอย่างไรดี’ ทางเจ้าหน้าที่ก็ย้ำชัดว่า ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเลือกสถานรักษาพยาบาลได้ เพียงต้องใช้เอกสารส่งตัวตามเงื่อนไข Cancer Anywhere คุณแม่จึงโทรกลับไปที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ 30 บาท อีกครั้งและคุยกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลว่า เราต้องการข้อมูลเลขตรงนี้เพื่อจะรักษาตัวต่อ ทางเจ้าหน้าที่ก็โอนสายให้เราคุยกับแผนกที่ทำหน้าที่ส่งตัวผู้ป่วยของทางโรงพยาบาล หลังจากคุยกันเขาก็ขอให้ส่งเอกสารการรักษาอีก 1 ชุดให้เขา เพื่อความรวดเร็ว คุณแม่ก็รีบวิ่งเอาเอกสารไปให้ในบ่ายวันนั้นเลย อีก 2 วันต่อมา เจ้าหน้าที่ก็โทรให้ไปรับเอกสารส่งตัว จากนั้นเราก็รีบส่งเอกสารนั้นไปที่แผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ แล้วก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการรักษาทันที 

จับมือสู้ไม่ถอย

คุณพ่อสจ๊วต : พ่อพบคุณหมอที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ครั้งแรกในวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 และด้วยความที่เป็นผู้ป่วยมะเร็ง 2 ตำแหน่ง คือ ที่ตับและลำไส้ ซึ่งเป็นเชื้อมะเร็งคนละตัวกันและไม่รู้ว่ามะเร็งเกิดที่ใดก่อนกัน ซึ่งนับเป็นเคสที่พบได้น้อย ประกอบกับก้อนมะเร็งตับมีขนาดใหญ่กว่า 16 เซนติเมตร ทำให้มีความเสี่ยงต่อการผ่าตัดสูง คุณหมอจึงต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมใหญ่ เพื่อให้ทั้งคุณหมอด้านมะเร็งตับ คุณหมอด้านมะเร็งลำไส้ และทีมสหวิชาชีพร่วมประเมิน วินิจฉัย และค้นหาแนวทางการรักษาผู้ป่วยแบบองค์รวม กระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 12 กรกฎาคม คุณหมอก็โทรมาแจ้งแนวทางการรักษา โดยจะเริ่มจากการฉายแสงควบคู่กับการรับเคมีบำบัดในส่วนของมะเร็งลำไส้ก่อน 

หลังจากผ่านการรับเคมีบำบัดและฉายแสงมะเร็งลำไส้ไปราว 1 เดือน คุณหมอด้านมะเร็งตับก็เริ่มวางแผนเพื่อการรักษามะเร็งตับ โดยแนะนำการรักษาผ่านเทคโนโลยี Y-90 ซึ่งเป็นการฝังแร่ประเภทหนึ่งที่ใช้อนุภาคเรซินไมโครสเฟียรส์เคลือบสารกัมมันตรังสี Y-90 (Yttrium-90) เข้าไปในหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็งตับ โดยรังสี Y-90 จะแผ่รังสีเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง ทำให้ก้อนมะเร็งค่อยๆ หดตัวและตายลงในที่สุด แต่การรักษานี้ไม่อยู่ในสิทธิบัตรทอง นั่นทำให้แม่ต๊ะต้องวิ่งหาเงินมารักษา โดยหลังจากจ่ายเงินแล้วทางโรงพยาบาลก็จะสั่งแร่มาจากออสเตรเลีย และนัดคิวผ่าตัดฝังแร่ Y-90 ที่ต้นขา ในวันที่ 11 สิงหาคม 2564 โดยหลังการผ่าตัดพ่อต้องนอนนิ่งๆ โดยไม่ขยับเป็นเวลา 8 ชั่วโมงเต็ม และหลังออกจากโรงพยาบาลก็ต้องติดตามผลกว่า 6 เดือน ซึ่งปรากฏว่า ก้อนมะเร็งที่ตับยุบไปเพียง 4 เซนติเมตร จากก้อน 16 เซนติเมตร ก็ลดลงมาเหลือ 12 เซนติเมตร 

ในเดือนธันวาคมปีเดียวกันนั้น คุณหมอก็ทำการผ่าตัดลำไส้ ซึ่งอยู่ห่างจากทวารเพียง 4.5 เซนติเมตร และเปิดหน้าท้องเพื่อใส่ทวารเทียมไว้ โดยคุณหมอก็ไม่ได้ให้ความหวังว่าจะสามารถดึงลำไส้ให้ต่อกันได้ในภายหลังและปิดหน้าท้องหลังจบการรักษาได้ไหม เนื่องจากใกล้กับทวารมาก และหากทำไม่สำเร็จ ก็หมายความว่า เราต้องใช้ชีวิตกับถุงหน้าท้องหรือทวารเทียมไปตลอดชีวิต หลังผ่าตัดแล้ว คุณหมอก็ให้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน และนัดติดตามผลเป็นระยะๆ กระทั่งเดือนพฤษภาคม 2565 ผลจากการทำ Y-90 ก็ยังคงทำให้ก้อนมะเร็งยุบได้แค่ 4 เซนติเมตร ไม่เล็กไปกว่านั้นอีกแล้ว คุณหมอจึงเปลี่ยนแผนมาใช้ยามุ่งเป้า (Targeted therapy) เพื่อหวังจะลดขนาดก้อนมะเร็งที่ตับลงอีก โดยทำควบคู่ไปกับ ‘การอุดหลอดเลือดดำ’ (Transarterial Chemo Embolization : TACE) ซึ่งเป็นการรักษามะเร็งตับในผู้ป่วยที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ วิธีนี้จะเป็นการรักษาด้วยการให้ยามุ่งเป้าผ่านทางหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็งตับโดยตรง แล้วอุดกั้นหลอดเลือดเพื่อไม่ให้เลือดไปเลี้ยงก้อนเนื้อร้าย แต่ปรากฏว่าให้ยามุ่งเป้าไปเพียง 2 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะห่างกันประมาณ 1 เดือน ผลพบว่า ก้อนมะเร็งตับลดขนาดลงมาเหลือ 9 เซนติเมตร แต่สารอุดกั้นเส้นเลือดดำเกิดหลุดเข้าไปเส้นเลือดอื่นที่ไปเลี้ยงเนื้อดีของตับด้วย เป็นเหตุให้คุณหมอต้องทำการผ่าตัดตับ พร้อมกับตัดต่อหลอดเลือดเพื่อนำเอาสารอุดกั้นออก ซึ่งการตัดต่อหลอดเลือดนั้นเป็นการผ่าตัดที่ละเอียดอ่อนมาก ทั้งระหว่างผ่าตัดและหลังผ่าตัด เพราะหากหลอดเลือดมีอาการบิดตัวหลังการผ่าตัดก็จะเป็นอันตรายมาก ทางคุณหมอจึงส่งตัวให้ไปผ่าตัดที่ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เนื่องจากมีอาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญและมีเครื่องมือรองรับอาการผิดปกตินั้นที่พร้อมกว่า

เจสซี่ : ช่วงเช้าวันที่ 28 กันยายน 2565 เป็นวันผ่าตัดก้อนมะเร็งที่ตับและตัดต่อหลอดเลือดของคุณพ่อ คุณหมอใช้เวลาไปกว่า 15 ชั่วโมง เพราะเป็นการผ่าตัดใหญ่เปิดหน้าอก หลังจากผ่าตัดเสร็จ คุณหมอก็ออกมาแจ้งคุณแม่ว่า โชคดีที่ไม่ต้องตัดต่อหลอดเลือด เพราะอาจารย์แพทย์หัวหน้าทีมผ่าตัดสามารถเลาะสารอุดกั้นออกจากหลอดเลือดได้ แต่เนื่องจากผู้ป่วยเคยดื่มแอลกอฮอล์และมีโรคประจำตัวที่ต้องกินยาเป็นประจำมานาน สภาพของตับที่เหลือจึงไม่ค่อยแข็งแรงนัก สีของตับคล้ำ ไม่เหมือนสภาพตับที่แข็งแรงซึ่งจะมีสีแดง นั่นทำให้ต้องติดตามผลหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิด 

พอคุณหมอพูดจบ คุณแม่ก็ทำใจแล้วว่า คุณพ่ออาจจะอยู่ได้ไม่นาน ก็พยายามดูแลและทำทุกอย่างอย่างดีที่สุด หลังจากอยู่โรงพยาบาล 2 สัปดาห์ คุณหมอก็ให้กลับมาพักฟื้นต่อที่บ้าน โดยมอบหมายภารกิจสำคัญให้กลับมาทำด้วย ก็คือการบริหารปอดโดยการเป่ากล่องลูกบอล เนื่องจากการผ่าตัดมีผลทำให้ปอดแฟบและน้ำท่วมปอดได้ง่ายจึงต้องบริหารปอดให้แข็งแรง ระหว่างนั้นทางคุณหมอที่ดูแลมะเร็งลำไส้ก็นัดให้กลับไปรับเคมีบำบัดอีก 5 ครั้ง ซึ่งก็ผ่านมาได้โดยไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ หลังจากนั้น ในช่วงเช้าวันที่ 2 มีนาคม 2566 คุณหมอก็นัดให้เข้ารับการผ่าตัดปิดช่องทวารเทียม ซึ่งตอนนั้นบอกตามตรงว่าทั้งเราและคุณพ่อก็แทบไม่ได้หวังแล้ว ด้วยตำแหน่งลำไส้ที่ผ่าออกนั้นห่างจากทวารเพียง 4.5 เซนติเมตร และคุณหมอก็เคยบอกว่าโอกาสในการผ่าตัดปิดหน้าท้องให้กลับมาเหมือนเดิมนั้นยากมาก แต่ด้วยความเก่งของทีมแพทย์โรงพยาบาลจุฬากรณ์ก็สามารถทำได้สำเร็จ คืนความมั่นใจในการใช้ชีวิตให้กับคุณพ่อได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์  

วัคซีนแห่งชีวิต

คุณพ่อสจ๊วต : หลังการผ่าตัดเก็บลำไส้ ด้วยความที่เราถ่ายของเสียผ่านทางหน้าท้องมาเป็นเวลาปีกว่า ทำให้การกลับมาใช้ทวารปกติจึงไม่ใช่เรื่องง่าย หลังคุณหมอให้กลับบ้านได้เพียงวันเดียว ก็เกิดอาการบวมตั้งแต่ต้นขาจนถึงเท้า ทำให้ต้องกลับเข้ารักษาตัวอีกครั้งในวันที่ 10 มีนาคม 2566 โดยคุณหมอให้ยาขับปัสสาวะ อาการบวมก็เริ่มทุเลาลง และออกจากโรงพยาบาลในวันที่ 13 มีนาคม 2566 เพื่อกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ แม้จะไม่ต้องกังวลเรื่องถุงหน้าท้องแล้ว แต่ก็ยังมีความกังวลใหม่เกิดขึ้น ก็คือยังไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ โดยคุณหมออธิบายให้ฟังว่า การที่ลำไส้ได้ถูกผ่าตัดต่อนั้น แนวที่ผ่าตัดต่อจะเป็นบริเวณที่ลำไส้ไม่สามารถบีบตัวหรือเคลื่อนไหว เพื่อขับของเสียได้เหมือนเดิม ซึ่งอาจต้องใช้เวลา 1-2 ปี ลำไส้จึงจะกลับมาทำงานได้ดีขึ้น 

หลังจากจบการรักษาไป ยังมีการตรวจพบก้อนที่ตับและลำไส้อีกครั้ง ซึ่งเป็นก้อนเล็กๆ ที่คุณหมอแนะนำให้ผ่าตัดออก ยอมรับว่าตอนนั้นเบื่อที่จะรักษาต่อแล้ว เพราะที่ผ่านมาเราก็รักษามาทุกรูปแบบ เจ็บตัวมานับครั้งไม่ถ้วน จึงอยากยุติการรักษา แต่ด้วยคำขอร้องของภรรยาและลูกๆ จึงให้ตัดสินใจผ่าตัดอีกครั้งในปี 2567 รวมแล้วการเป็นมะเร็งในครั้งนี้ก็ทำให้ผ่านการผ่าตัดใหญ่ถึง 4 ครั้ง คือ ผ่าตัดตับ 2 ครั้ง และผ่าตัดลำไส้ 2 ครั้ง ยังไม่นับรวมผ่าตัดฝังแร่ที่ต้นขาและผ่าตัดอุดหลอดเลือดดำอีก 1 ครั้ง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายเราก็ต้องอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ ภายใต้ความเชื่อที่ว่าโลกคงไม่โหดร้ายกับเราไปตลอด

แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณแม่ต๊ะและลูกๆ ทั้งสองที่เคียงข้างกันมาตลอด แม้บางครั้งพ่อจะมีภาวะทางอารมณ์ที่ไม่ปกติ เพราะการรักษามะเร็งนั้นเป็นการรักษาที่ซับซ้อนและใช้เวลายาวนาน ต้องเข้า-ออกโรงพยาบาลอยู่ตลอดเวลา เจ็บตัวทุกรูปแบบ อีกทั้งยังไม่คุ้นชินกับถุงหน้าท้อง ก็จะมีบ้างที่หงุดหงิด รำคาญ กังวล เหนื่อย ท้อ ฯลฯ แต่แม่ต๊ะและลูกๆ ก็เคยทิ้งไปไหน พยายามเข้าใจและให้กำลังใจพ่อมาตลอด 

เจสซี่ : ที่ครอบครัวผ่านวิกฤตครั้งนี้มาได้ ก็ต้องยกเครดิตให้คุณแม่จริงๆ เพราะคุณแม่เป็นผู้หญิงที่สู้ไม่เคยถอย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว ธุรกิจ หรือวิกฤติอะไรก็แล้วแต่ ท่านจะสู้จนถึงที่สุด สู้อย่างเต็มที่ และไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ท่านก็จะไม่เสียใจถ้าได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว

จำได้ว่าหลังจากรู้ว่าคุณพ่อป่วย ท่านเปลี่ยนตัวเองใหม่หมด ทำงานน้อยลง ทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อดูแลคุณพ่อ ท่านพยายามทำทุกอย่างเพื่อประคองคุณพ่อให้อยู่ได้อย่างมีคุณภาพที่สุดแม้ว่าจะป่วย ยิ้มให้กันง่ายขึ้น ยอมรับและพยายามเข้าใจในบางอารมณ์ และจากคนที่ไม่เคยทำอาหาร ก็เริ่มจ่ายตลาดเอง เลือกวัตถุดิบเอง และทำอาหารให้คุณพ่อเอง จากเมื่อก่อนทำงาน กลับดึก พอถึงบ้านก็แทบไม่ได้คุยกับใครในบ้านเลย พอคุณพ่อป่วย ท่านก็จะรีบทำงานและกลับบ้านมาหาคุณพ่อส่วนเจสเองก็ต้องเปลี่ยนเหมือนกัน ต้องมาเรียนรู้ที่จะดูแลธุรกิจของครอบครัว จากที่ไม่เคยสนใจเลย ซึ่งมาถึงวันนี้ เจสก็ภูมิใจที่ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวได้ผ่านวิกฤตในครั้งนี้มาได้ และทำให้เรามั่นใจเลยว่า ต่อให้ชีวิตจะเจอเรื่องยากๆ หลังจากนี้ เราก็ไม่กลัวอีกแล้ว เพราะเราเจอเรื่องที่ยากที่สุดมาแล้ว มะเร็งของพ่อเป็นเหมือนวัคซีนของชีวิตเลยก็ว่าได้

โชคดีที่มีครอบครัว

คุณพ่อสจ๊วต : พ่อโชคดีที่มีครอบครัวที่ทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แม้ก่อนหน้านี้เราอาจจะไม่ได้แสดงออกถึงความรักกันมากนัก และบางครั้งก็มีความไม่เข้าใจกันบ้าง แต่ทุกครั้งที่เราเจอวิกฤต ทุกคนก็จะพร้อมซัปพอร์ตกันและกันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเล็กหรือใหญ่ ทุกคนพร้อมสู้ไปด้วยกัน ไม่มีใครทิ้งใครไว้ข้างหลัง นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้เราผ่านวิกฤตมาได้ทุกครั้ง รวมถึงการก้าวข้ามมะเร็งในครั้งนี้ด้วย     

เจสซี่ : เรื่องการรักษานั้น ยอมรับว่าเราค่อนข้างโชคดีที่ได้เจอคุณหมอที่ดีและได้รับการรักษาในโรงพยาบาลระดับต้นๆ ของประเทศ ฉะนั้น เรื่องตัวโรคเราจึงไม่ค่อยเป็นห่วงสักเท่าไร จะห่วงก็แต่เรื่องใจ เพราะท่ามกลางการต่อสู้ของทุกคนในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อที่ต้องสู้ทนกับการรักษา คุณแม่ที่พยายามทำทุกทางเพื่อให้คุณพ่อเข้าสู่การรักษาที่ดีที่สุด ขณะที่เจสเองที่พยายามทำหน้าที่ลูกสาวคนโตที่ดูแลกิจการแทนคุณแม่อย่างสุดกำลัง และน้องสาวที่ทำหน้าที่ของตัวเองไปพร้อมๆ กับเป็นแนวร่วมคอยซัปพอร์ตทุกคนในบ้าน ทุกคนหนักและเหนื่อย ฉะนั้นการสร้างกำลังใจให้กันและกันเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ในยามวิกฤต

เจสเชื่อว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ดูแลกันไปให้ดีที่สุด จับมือกันไปให้สุดทาง โดยเราต้องเชื่อก่อนว่า ทุกวันที่เรายังมีลมหายใจนั้นคือของขวัญจากเบื้องบน พอมีความเชื่อเช่นนั้นแล้ว เราก็จะทำทุกอย่างอย่างดีที่สุด และเมื่อวันนี้ดีก็ย่อมเป็นรากฐานของอนาคตที่ดีแน่นอน 

ฉะนั้น เมื่อได้ยินคำว่ามะเร็ง ไม่ว่าเราหรือใครในครอบครัวที่เป็นมะเร็ง เราอย่าเพิ่งคิดล่วงหน้าไปไกลว่า ผู้ป่วยมะเร็งจะอยู่ได้แค่ 3-4 ปี แต่ให้มองแค่วันนี้…เราทำดีที่สุดหรือยัง เรามีความสุขที่สุดหรือยัง เราดูแลร่างกายดีที่สุดหรือยัง เราดูแลจิตใจกันดีที่สุดหรือยัง ฯลฯ ถ้าเราทำเมื่อวานดี วันนี้ดี พรุ่งนี้ก็ต้องดีแน่นอน เราต้องอยู่อย่างมีความหวัง ไม่ใช่อยู่แบบทุกข์เศร้า เพราะจิตทุกข์ย่อมนำกายให้ทุกข์ไปด้วย 

โลกในมุมที่เปลี่ยนไป

คุณพ่อสจ๊วต : หลังจากผ่านการรักษามะเร็งมาจนถึงวันนี้ก็กว่า 4 ปีแล้ว บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า การเป็นผู้ป่วยมะเร็งนี้อาจจะโชคดีเสียด้วยซ้ำ เพราะโรคเข้ามาเตือนเราให้ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต จากเมื่อก่อนที่เราก็อาจจะพลั้งเผลอใช้ชีวิตไปอย่างประมาทบ้าง แต่พอมะเร็งเข้ามา ไม่ใช่แค่พ่อที่เปลี่ยน แต่แม่และลูกๆ เองก็ได้กลับมาทบทวนและเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทั้งเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การตรวจสุขภาพ หรือแม้แต่การเดินทางท่องเที่ยว พักผ่อน พบเพื่อนฝูง ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับงานเพียงอย่างเดียว  

ในยุคที่เทคโนโลยีทางการแพทย์พัฒนาไปไกล และยังไม่หยุดนิ่ง อย่าหมดหวังกับการรักษาเด็ดขาด ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะคิดค้นการรักษาใหม่ๆ หรือยารักษามะเร็งตัวใหม่เกิดขึ้นมาก็ได้ ฉะนั้น อย่าเพิ่งถอดใจ ยอมแพ้ แต่อยู่ให้ได้ อยู่ให้สุข สุขให้มากกว่าเดิมทุกวัน ที่สำคัญตระหนักถึงคุณค่าของครอบครัวและคุณค่าของเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน 

เจสซี่ : ความรักของทุกคนในครอบครัวและความหวังที่หลายคนอาจจะมองว่าเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้นี่แหละ คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงหัวใจของเราทุกคนให้บ้านให้ดำรงอยู่ได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนมากนัก เพราะโรคมะเร็งนั้นมีทั้งช่วงที่ง่ายและยากต่อการรักษา ความรักและความหวังคือสิ่งที่เราทุกคนต้องมี ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยและผู้ดูแล และมะเร็งของพ่อในครั้งนี้ก็ทำให้เจสเชื่อว่า ความรักความผูกพันของเรานั้นสามารถเอาชนะได้กับทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตหรือปัญหาใดๆ ก็ตามที่จะเข้ามา ถ้าเราทุกคนในครอบครัวมีความรักและมีความหวัง เราก็พร้อมจะกันสู้ไปด้วยกัน ทุกวันนี้เจสไม่กลัวอะไรอีกแล้ว   

ที่สำคัญกว่านั้น มะเร็งของพ่อในครั้งนี้ยังทำให้เจสกลับมาทบทวนชีวิตที่ผ่านมา และได้เห็นถึงเดดไลน์ของบางสิ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้เราอาจจะคิดว่า นั่นเป็นของตาย หันมาเมื่อไรก็เจอ จนหลงลืมคุณค่าสิ่งนั้นไป พอได้กลับมาทบทวนก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นกับตัวเองว่า เราทำดีที่สุดกับสิ่งนั้นแล้วหรือยัง

จากเมื่อก่อนครอบครัวของเราค่อนข้างสื่อสารกันน้อยมาก ต่างคนต่างทำหน้าที่ พอกลับมาถึงบ้านก็ต่างแยกย้ายเข้าห้องใครห้องมัน แทบจะไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกันเท่าไร ทุกวันนี้เราก็หันมาคุยกันมากขึ้น ดูแลกันมากขึ้น แม้แต่คุณพ่อเองที่เป็นคนนิ่งๆ พูดน้อย ไม่ค่อยแสดงออกกับลูกๆ เราก็จะเห็นว่าท่านเริ่มพูดคุยมากขึ้น ปอกผลไม้แช่เย็นไว้รอลูกๆ และอีกหลายอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความรักความห่วงใยจนเราทุกคนในบ้านสัมผัสได้  ด้วยหน้าที่การงานจะทำให้เราไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่ทุกคนได้มาเจอกัน ร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน เราจะรู้สึกว่าเวลานี้มีคุณค่ามากเลย และนี่คือสิ่งที่เจสหันกลับมาให้ความสำคัญมากๆ หลังจากที่คุณพ่อเป็นมะเร็ง เพราะเรารู้แล้วว่าเราทุกคนล้วนมีเวลาจำกัดและไม่มีใครล่วงรู้อนาคตได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือทำวันนี้ให้ดีที่สุด

___

เรื่อง : เพชรภี ปิ่นแก้ว
ภาพ : วุฒินันท์ จันโทริ

Share To Social Media