จนถึงตอนนี้ เป็นเวลา 2 ปีเต็มแล้วที่ แอน-ผกามาศ งานสถิร หายจากการโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ในปีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง เป็นเวลาเดียวกับที่เธอเพิ่งคลอดลูกคนที่สองได้เพียงไม่กี่เดือน นั่นทำให้นอกจากโรคทางกายที่เธอต้องดูแลแล้ว แอนยังต้องคงบทบาทของการเป็นคุณแม่ไว้ให้ได้อย่างดีที่สุด พร้อมๆ ไปกับการรับมือกับโรคซึมเศร้าที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันด้วย แม้ความท้ายทายหลายๆ อย่างจะเกิดขึ้น แต่เธอดึงตัวเองให้กลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง จัดการทุกๆ อุปสรรคอย่างเป็นระบบระเบียบ เริ่มปรับพฤติกรรมและวิถีชีวิต รวมทั้งหลีกเลี่ยงทุกความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อร่างกายของเธอ ตลอดจนตัดสินใจเปิดเพจ ‘ก็แค่มะเร็ง’ ขึ้น เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเอง โดยเป็นทั้งบันทึกความทรงจำของตัวเอง ขณะเดียวกัน เธอยังหวังว่าประสบการณ์ที่เธอถ่ายทอดอาจเป็นประโยชน์ให้กับผู้อื่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในอนาคต และบรรทัดต่อจากนี้คือเรื่องราวจากแอนที่เล่าถึงมะเร็ง ชีวิต และการมองโลกที่เปลี่ยนไปของเธอ
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง รู้เร็ว รักษาหาย
“ช่วงปี 2562 แอนตรวจสุขภาพประจำปี หลังจากเห็นผลเอ็กซเรย์ คุณหมอพบว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ช่วงกลางอก แต่ไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไร คุณหมอจึงขอเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจและวินิจฉัย แต่กว่าจะทราบผลว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แอนต้องผ่านการตรวจหลายขั้นตอน จำได้ว่ากินเวลาประมาณ 3-4 เดือนในการค้นหาว่าเราเป็นอะไรกันแน่ เนื่องจากก้อนเนื้อมีลักษณะที่ไม่ชัดเจนจึงต้องมีการนำชิ้นเนื้อไปตรวจโดยการย้อมน้ำยาชนิดพิเศษอีกครั้งเพื่อจำแนกชนิดว่าเนื้องอกนั้นๆ เป็นเนื้องอกชนิดไหน มีเซลล์ต้นตอ หรือมีต้นกำเนิดมาจากเซลล์อะไร เพราะการตรวจย้อมธรรมดาในก้อนเนื้องอกของแอนยังไม่สามารถระบุได้ จนคุณหมอได้ข้อสรุปว่าแอนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง สำหรับการรักษาจะเป็นการใช้เคมีบำบัดเพียงอย่างเดียวจำนวน 1 คอร์ส ซึ่งแบ่งเป็น 6 ครั้ง พอให้คีโมครบ 3 ครั้ง คุณหมอได้ทำการเอ็กซเรย์เพื่อจะดูว่าก้อนเนื้อเป็นอย่างไร ซึ่งถือว่าการรักษาก้อนมะเร็งของแอนสามารถตอบสนองต่อยาได้ดี
“ผลจากการทำคีโม่อย่างแรกคือแอนจะมีแผลในช่องปาก การดูแลส่วนนี้จึงใช้วิธีการกลั้วปากด้วยน้ำเกลือหลังทานข้าวเสร็จหรือเมื่อเวลาว่าง และพยายามอมน้ำแข็งเพื่อให้ไม่เกิดแผลในช่องปาก เพราะถ้าเป็นจะเจ็บมาก ซึ่งโดยปกติแล้วคนเป็นมะเร็งที่ให้คีโมจะเป็นแผลในช่องปากเยอะเหมือนกัน นอกจากนี้ ด้วยสูตรยาคีโมของแอนจะต้องทานยาสเตียรอยด์วันละ 20 เม็ด ทำให้ในหนึ่งอาทิตย์ต้องทานยาเป็นร้อยเม็ดเลย ซึ่งการทานสเตียรอยด์แม้เพียงเม็ดเดียวก็ทำให้แอนปวดท้องแล้วถ้าไม่ได้ทานข้าว แอนจึงต้องทานอาหารให้เยอะเมื่อต้องทานยา จะนั่งสักพักหนึ่งก่อนที่จะนอน และทานยาแก้ปวดเมื่อมีอาการปวด ส่วนอาการอื่นๆ จะมีเรื่องปลายมือปลายเท้าชา ซึ่งคุณหมอจะให้บีบลูกบอลบ่อยๆ เพื่อออกกำลังกายมือไม่ให้ชา โดยอาการมือชากินเวลาประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้นอาการค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ จนตอนนี้อาการทุกอย่างหายเป็นปกติแล้วค่ะ
“ปัจจุบัน การดูแลสุขภาพของแอนจะไม่มีอะไรซับซ้อน อย่างแรกคือการติดตามผลทุก 4-6 เดือนออกกำลังกายพอประมาณตามเวลาและร่างกายอำนวย จะมีเรื่องอาหารที่แอนใส่ใจมากขึ้น โดยจะทานอาหารปรุงสุกใหม่ด้วยความร้อน ไม่ทานอาหารค้างคืน อาหารหมักดอง และอาหารแปรรูปต่างๆ รวมถึงไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนผลไม้ ตอนนี้แอนทานได้ทุกชนิด จะมีเข้มงวดหน่อยก็ตอนที่ให้คีโม ซึ่งจะเลือกทานโดยเลือกผลไม้เปลือกหนาและหลีกเลี่ยงผลไม้เปลือกบางเพื่อป้องกันเชื้อโรคและสารปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายค่ะ”
ใช้สติมองปัญหา
“สิ่งที่ยากมากๆ สำหรับแอนคือตอนที่ทราบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง แอนเพิ่งคลอดลูก ดังนั้น นอกจากความเครียดที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง และการคิดไปล่วงหน้าไปต่างๆ นานาว่าถ้ารักษาแล้วเราจะเป็นอย่างไร เริ่มจิตตกว่าเดี๋ยวผมจะต้องร่วง เดี๋ยวนั่นเดี๋ยวนี่แน่ๆ แล้วฮอร์โมนในช่วงหลังคลอดของแอนยังสวิงมากๆ ด้วย แถมมีอาการโรคซึมเศร้าเข้ามาเพิ่ม รวมถึงความกังวลในฐานะแม่ว่าหากการรักษาไม่เป็นผล ลูกของเราจะอยู่อย่างไร เรียกว่าทุกความรู้สึกถาโถมเข้ามาทั้งหมดเลย
“สิ่งที่แอนทำตอนนั้นคือต้องกลับมาตั้งสติ เคลียร์กับตัวเองว่าตอนนี้เราเป็นมะเร็งแล้ว ต้องยอมรับความจริง พอคุยกับตัวเองรู้เรื่อง แอนจึงค่อยๆ เริ่มลำดับความคิดใหม่โดยเริ่มจากจัดการกับอาการซึมเศร้าก่อน แอนปรึกษาจิตแพทย์และทานยา โดยช่วงใกล้ๆ ที่จะหยุดยา แอนจะอยู่กับตัวเองเยอะพอสมควรเพื่อเช็คว่าตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร โอเคไหม เมื่อคุณหมอแจ้งว่าโรคซึมเศร้าของแอนไม่ต้องทานยาแล้ว หลังจากนั้นถึงมาโฟกัสและเริ่มต้นรักษามะเร็งอย่างเต็มที่ ซึ่งระหว่างการรักษาด้วยคีโมไปประมาณสามอาทิตย์ ผมแอนเริ่มร่วง แอนจึงตัดปัญหาตรงนี้โดยการโกนผมเพื่อที่ตัวเองจะไม่ต้องมากังวลหรือจิตตกเรื่องความสวยงามและสามารถมาโฟกัสกับการดูแลตัวเองได้มากขึ้น”
‘ก็แค่มะเร็ง’
“จากประสบการณ์ เรามักจะเจอว่า ถ้าเป็นมะเร็งต้องตายสถานเดียว แอนเองก็รู็สึกว่าอย่างนั้นเหมือนกัน ทันทีที่รู้ว่าตัวเองเป็นว่าฉันต้องตายแน่ๆ เลย จนเมื่อตั้งสติและคิดว่าได้ว่าฉันจะรักษาตัวให้หาย เพราะมีคนหลายๆ คนที่รักษาได้และกลับมาเป็นปกติได้ เราต้องอยู่ในเปอร์เซ็นต์นี้ได้สิ กระทั่งแอนหาย ตอนนั้นเองที่รู้สึกว่า ‘ก็แค่มะเร็ง’ จริงๆ มะเร็งคือโรคที่เป็นได้ก็หายได้เหมือนกัน แอนจึงเปิดเพจ ‘ก็แค่มะเร็ง’ ขึ้นเพื่อแชร์ประสบการณ์และความรู้สึกในช่วงเวลานั้นเพื่อให้แอนไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งเราเคยเป็นมะเร็งและเราเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ ขณะเดียวกัน แอนยังอยากถ่ายทอดประสบการณ์และส่งต่อพลังบวกให้กับคนอื่นได้เห็นว่า ขอให้เรายอมรับความจริงก่อน และมะเร็งก็เหมือนกับโรคอื่นๆ ที่เป็นได้ แต่เราสามารถหายจากการป่วยและใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขดังเดิมนะหากเราไม่ยอมแพ้”
ความงดงามในความทุกข์
“หลังจากเป็นมะเร็ง วิถีชีวิตแอนเปลี่ยนไปพอสมควร จากเมื่อก่อนที่เคยไปปาร์ตี้บ่อยๆ ทานอาหารไม่มีประโยชน์ นอนดึก เครียด แอนปรับความคิดตัวเองว่าหากเรายังใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่ มะเร็งคงจะกลับมาแน่ๆ จากที่เคยทานอาหารรสหวานจัด ตักน้ำตาลใส่ก๋วยเตี๋ยวที 5-8 ช้อน แอนเปลี่ยนมาเน้นอาหารรสชาติจืดลง จากที่ปาร์ตี้ทุกคืน กิจกรรมแอนเปลี่ยนไป ตอนนี้ชอบทำบุญตักบาตร สวดมนต์ อยู่กับลูกๆ และให้เวลาพวกเขามากขึ้น จะไม่ไปเที่ยวหรือแบบปาร์ตี้ทุกคืนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“การเป็นมะเร็ง ไม่เพียงแต่จะทำให้แอนกลับมาให้ความสำคัญกับตัวเองและรักตัวแอนเองมากขึ้นเท่านั้น แต่มะเร็งยังช่วยคัดกรองคนในชีวิตที่รักและหวังดีกับเราจริงๆ จากแต่ก่อนที่จะแคร์ทุกคนและทุกสิ่งบนโลก แอนได้เห็นเลยว่าใครเป็นมิตรแท้ยามเราลำบาก ตอนนี้แอนให้ความสำคัญกับพวกเขามากกว่าเดิมเยอะมาก แอนอยากจะขอบคุณครอบครัวและเพื่อนๆ ที่ตอนนั้นไม่ได้ทิ้งแอนทั้งๆ ที่แอนเอาแต่ใจตัวเองมากเลยระหว่างการรักษา ขอบคุณทุกคนที่คอยสนับสนุนในทุกเรื่อง คอยเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ และไม่ทิ้งกันไปเสียก่อน พวกเขาทำให้เห็นเลยว่ามิตรภาพสวยงามขนาดไหน และแอนอยากขอบคุณและบอกตัวเองในเวลานั้นว่า ‘เก่งมากเลยนะที่ผ่านมาได้’”
จงมองโลกตามความเป็นจริง
“สำหรับแอน สิ่งที่ทำให้แอนมีกำลังใจเกิดขึ้นจากตัวเองเป็นลำดับแรกคือ การที่เราเชื่อมั่นว่าฉันจะต้องหาย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นแรกและเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้แอนกลับมาอยู่กับความจริงตรงหน้าและกล้าก้าวเดินต่อไป ซึ่งนอกจากตัวเองแล้ว การเชื่อมั่นและเข้าใจในกระบวนการรักษา การดูแลตัวเองให้ดี เป็นอีกสิ่งที่จะมาส่งเสริมให้เราหายจากการป่วยได้ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บใดก็ตาม
“แอนขอส่งกำลังใจให้หลายๆ คน โดยเฉพาะคนที่อาจต้องเผชิญกับความยากลำบากตรงนี้เพียงลำพังว่า จริงๆ แล้วเราสามารถให้กำลังใจตัวเองได้ ซึ่งหากเรายืนหยัดได้ด้วยตัวเอง นั่นจะเป็นอะไรที่ยั่งยืนและมั่นคงกว่า เพราะกำลังใจที่ดีที่สุดคือกำลังใจจากเราเอง ดังนั้น ดึงพลังนักสู้จากตัวเรา ไม่ต้องสู้เพื่อใคร สู้เพื่อให้ตัวเราอยู่ต่อไปได้อย่างดีในแต่ละวัน เมื่อจุดตั้งต้นเราคือสู้ พลังบวกเหล่านี้จะส่งต่อถึงคนรอบข้างได้ และเมื่อคนรอบตัวของเรามีกำลังใจที่ดี พลังบวกเหล่านี้จะส่งกลับมาหาเราเช่นกัน แอนอยากให้โฟกัสไปที่เป้าเหมาย แม้ระหว่างทางอาจจะเหนื่อนหน่อย แอนรู้ค่ะ แต่เชื่อเถอะว่าสิ่งที่ตามมาคุ้มค่ามากจริงๆ”
เรื่อง: สุดาพร จิรานุกรสกุล
ภาพ: ธวัชชัย แสงมณี (Porfoto Small)
ขอบคุณสถานที่: หนัง(สือ)2521, Drawingroom Coffee and Gallery