คุณรู้ใช่ไหม คนเราเกิดมาต้องตาย
คุณเคยคิดถึงความตายของตัวเองบ้างหรือเปล่า
ถ้าวันหนึ่งคุณเจ็บป่วยหนัก คุณอยากใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายอย่างไร
….
หนึ่งในหลายๆ คำถามชวนให้คิดและทบทวนอีกช่วงเวลาสำคัญของชีวิตจาก นพ.นิยม บุญทัน เจ้าของเพจ หมอคนสุดท้าย แพทย์ประจำศูนย์การุณรักษ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในวัย 33 ปี คุณหมออุทิศเวลาทั้งหมดให้กับงาน Palliative care หรือการดูแลแบบประคับประคองในกลุ่มผู้ป่วยระยะท้ายให้มีชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความหมาย รวมถึงอยู่เคียงข้างผู้ป่วยและครอบครัวจนลมหายใจสุดท้ายมาถึง ภายใต้ความเชื่อที่ว่า มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนมีสิทธิ์ตายดี
“โดยมุมมองส่วนตัวนั้น หมอมองว่าความตายเป็นมิติหนึ่งของมนุษย์ทุกคน ความตายเป็นเรื่องของคนทุกคน เราทุกคนเกิดมามีปลายทางเดียวกัน และแน่นอนว่าในช่วงเวลาสุดท้ายปลายทางของทุกคน คงไม่มีใครอยากจากไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน ไม่ว่าทางร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ในเมื่อตอนเราเกิดมายังมีสูติแพทย์ที่มาช่วยทำคลอด รวมถึงมีแพทย์ที่เข้ามาดูแลความเจ็บป่วยต่างๆ ตลอดเส้นทางชีวิต ฉะนั้นในช่วงเวลาเจ็บป่วยระยะสุดท้ายก็ควรมีบุคลากรทางการแพทย์หรือใครสักคนที่เข้ามาให้การดูแลตรงนี้เช่นกัน เพื่อให้การจากไปอย่างสมบูรณ์หรือจะเรียกง่ายๆ เพื่อการตายดี หรือ Good Death นั่นเอง ตรงนี้เป็นบทบาทสำคัญของทีม Palliative care ที่จะเข้ามาดูแลในอีกช่วงเวลาสำคัญหนึ่งของชีวิต”

สู่เส้นทางหมอคนสุดท้าย
“คงต้องบอกว่า ‘หมอ’ ไม่ใช่อาชีพที่ใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก แต่เหมือนจับพลัดจับผลูมาเป็นหมอมากกว่า เพราะในสมัยมัธยมเชื่อว่าเด็กหลายๆ คนก็คงไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบอะไร หมอก็เป็นหนึ่งในนั้นที่กำลังค้นหาตัวตนไปเรื่อยๆ กระทั่งช่วงศึกษาอยู่ชั้น ม.6 ทางโครงการกระจายแพทย์หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน (ODOD) หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตกำลังเปิดรับสมัครนักเรียนทุน ซึ่งหากสอบผ่านก็จะได้รับทุนสนับสนุนการศึกษาจนจบการศึกษา โดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อจบแล้วจะต้องกลับไปทำงานในภูมิลำเนาหรือเขตที่ตนสมัคร หมอก็มองว่าเป็นโอกาสที่ดี หากเราจะได้ทุนการศึกษาโดยที่ไม่ต้องรบกวนเงินคุณพ่อคุณแม่ และมีงานรอเราอยู่แล้ว โดยไม่ต้องเดินเตะฝุ่นหางานหลังเรียนจบ
“ด้วยความที่หมอเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่เป็นชาวนาอยู่ที่สุรินทร์ แม้พวกท่านจะสนับสนุนให้เราเรียนเต็มที่และไม่ได้คาดหวังอะไรกับเราก็ตาม แต่ตัวเราเองจะซึมซับรับรู้มาตลอดว่า คุณพ่อและคุณแม่ค่อนข้างลำบาก เราจึงตั้งใจเรียนมาตลอด โดยไม่รู้หรอกว่าโตขึ้นจะทำอาชีพอะไร รู้แค่ว่าการศึกษาจะทำให้เราและครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ จึงเป็นเหตุให้หมอสมัครเข้าร่วมโครงการและได้เป็นนักเรียนแพทย์ ODOD ในที่สุด
“หลังจากสำเร็จการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิตที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีในปี 2559 หมอก็กลับมาใช้ทุนเป็น แพทย์เพิ่มพูนทักษะ อยู่ที่โรงพยาบาลสุรินทร์ 1 ปี ก่อนจะศึกษาต่อแพทย์เฉพาะทางด้าน ‘เวชศาสตร์ครอบครัว’ ซึ่งต้องเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย โดยตอนนั้นย้ายมาอยู่ที่ ‘โรงพยาบาลปราสาท’ เป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอในจังหวัดสุรินทร์ กระทั่งสองปีให้หลังนี้ หมอตัดสินใจย้ายมาเป็นแพทย์ประจำศูนย์การุณรักษ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อทำงาน ‘ดูแลผู้ป่วยระยะท้าย’ แบบฟูลไทม์”

จุดไฟ ‘อินฟลูฯ’ ในชุดกาวน์
“ระหว่างที่ศึกษาต่อแพทย์เฉพาะทางด้าน ‘เวชศาสตร์ครอบครัว’ สิ่งที่หมอสนใจและชอบที่สุดก็คือ การดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคอง หรือ Palliative care ซึ่งเป็นพาร์ตหนึ่งของงานเวชศาสตร์ครอบครัว ช่วงนั้นมีโอกาสได้ดูแลคนไข้ในระยะท้ายและมีเรื่องราวความประทับใจมากมาย บางเรื่องเราก็อยากจะแบ่งปันให้คนอื่นได้อ่าน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หมอเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ ผ่านบทความบนหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัวมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีอยู่โพสต์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่อง ‘ยายอยากกลับบ้าน…แด่ลมหายใจสุดท้ายที่งดงาม’ เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2562 จู่ๆ ก็มีคนเข้ามามาอ่าน กดไลต์ กดแชร์เป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ส่วนหนึ่งที่ทำให้โพสต์นี้ได้รับความสนใจอย่างมาก น่าจะมาจากทุกคนต่างมีประสบการณ์การสูญเสีย ไม่ว่าจะสูญเสียคนในครอบครัว คนรัก คนรู้จัก ฯลฯ มิตินี้เป็นมิติหนึ่งที่อยู่กับชีวิตของเราทุกคน นั่นทำให้คนที่ผ่านมาอ่านเกิดความยึดโยงกับประสบการณ์เดิม รวมถึงอาจจะมีความรู้สึกร่วมในฐานะคนที่ดูแลคนไข้ ซึ่งหลายครั้งเราอาจจะดูแลคนไข้จนไม่มีเวลาทบทวนหรือใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ไม่มีโอกาสได้รับรู้หรือสัมผัสกับความรู้สึกทุกข์ยากหรือความเจ็บปวดในใจ ฯลฯ พอหมอนำเรื่องเหล่านี้มาถ่ายทอด คนอ่านก็คงเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
“หลังจากนั้นมาไม่ว่าจะเขียนบทความอะไรก็ตาม มักจะมีคนเข้ามาอ่านและแชร์กันจนเพื่อนหลายๆ คนเชียร์ให้เปิดเพจ แต่ด้วยความที่หมอเป็นคนไม่สนใจโซเชียล และมีความกังวลลึกๆ ถ้าเราทำจะดีหรือเปล่า จึงได้แต่คิดแล้ว คิดอีก จนวันหนึ่งก็มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนสนิทซึ่งเป็นคุณหมอหัวใจเด็ก เขาได้พูดให้ข้อคิดว่า ถ้าคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ แม้เพียงคนเดียวก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว ประโยคนั้นจุดประกายให้เราคิดได้ว่า เอ้อ…ทำไมเราต้องคาดหวังว่าจะได้การตอบรับมากน้อยแค่ไหน แค่มีใครสักคนผ่านมาอ่านและได้เรียนรู้หรือได้ประโยชน์จากสิ่งที่เราแชร์หรือถ่ายทอดออกไป ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วนี่นา นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หมอตัดสินใจเปิดเพจชื่อ ‘คุณหมอคนสุดท้าย’ ในเดือนพฤศจิกายน 2562
“เหตุผลที่ใช้ชื่อนี้ก็เพราะคนส่วนใหญ่มักจะมองว่า หมอประคับประคอง หรือ หมอ Palliative care นั้นเป็นคนสุดท้ายที่จะได้ดูแลคนไข้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต จึงเป็นที่มาค่อนข้างตรงตัวก็คือ หมอคนสุดท้ายที่ได้ดูแลรักษาคนไข้และอยู่เคียงข้างเขาจนวันสุดท้ายมาถึง โดยภาษาอังกฤษหมอเลือกใช้คำว่า The last doctor และนับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เกือบ 6 ปีมาแล้ว เจตนารมณ์ของหมอก็ยังเหมือนเดิม คือ ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ต่อสังคม ต่อญาติ ต่อผู้ป่วยระยะท้าย โดยคอนเทนต์ส่วนใหญ่จะมาจาก ‘ความอยากเล่า’ เป็นอันดับแรก คือ อยากเล่า…เล่าเลย
“ส่วนใหญ่เวลาที่หมออยู่กับคนไข้หรือครอบครัวคนไข้นั้น เราไม่ได้รับรู้แค่อาการของคนไข้ แต่หมอยังได้สัมผัสถึงเรื่องราวที่หลากหลาย แน่นอนว่าหลายครั้งก็มีบางอย่างที่กระแทกใจเรา และอีกไม่น้อยที่รู้สึกว่า ตัวหมอเองก็ได้บทเรียนและได้เรียนรู้อะไรมากมายจากคนไข้และครอบครัวคนไข้ จนอยากนำไปถ่ายทอดเพื่อเป็นประโยชน์ให้กับผู้อื่นต่อไป ซึ่งทุกครั้งที่เกิดความรู้สึกทำนองนี้ สิ่งแรกที่หมอทำก็คือ ขออนุญาตคนไข้หรือครอบครัวเพื่อนำเรื่องราวนี้ไปถ่ายทอดเพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่ผู้อื่นและคนในสังคม ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะยินดีที่จะให้เรานำไปถ่ายทอด เพียงแต่เราเองที่จะบอกเขาว่า ขอปรับเปลี่ยนเนื้อหาบางส่วนเพื่อรักษาไว้ซึ่งความลับหรือการเข้าถึงตัวตนของคนไข้และครอบครัว เพราะในฐานะหมอก็ยังมองว่า ความลับของคนไข้และครอบครัวยังเป็นเรื่องสำคัญเสมอ
“นอกจากเนื้อหาที่เป็นประโยชน์แล้ว 2-3 ปีให้หลังมานี้ เนื้อหาที่เพิ่มเข้ามาก็คือ การเป็น ‘กระบอกเสียง’ ให้กับสังคม กระทั่งขับเคลื่อนงานดูแลประคับประคอง (Palliative care) ในระดับนโยบายต่างๆ เพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในสังคม รวมถึงสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนได้รับรู้ถึงสิทธิการรักษาการดูแลประคับประคองของตัวเอง ซึ่งจะสอดแทรกอยู่ในหลายๆ บทความ เพื่อที่จะทำให้ประชาชนและสังคมตื่นตัว รวมถึงมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการดูแลประคับประคองมากขึ้น โดยเนื้อหาทั้งหมดในเพจจะมีผู้ดูแลคนเดียว คือ ตัวหมอเอง ทำให้บางช่วงเพจอาจจะเงียบไปบ้าง เหตุผลเดียวก็คือภาระงานที่ค่อนข้างยุ่ง แต่เมื่อมีโอกาสก็จะกลับมาถ่ายทอด เพราะหมอเชื่อว่าหลายๆ เนื้อหาในเพจก็ไม่ได้ทำหน้าที่แค่บอกเล่าเรื่องราว แต่ยังมีบทบาทมากกว่านั้น เช่น เคสคุณยายที่พาลูกชายมารักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งหมอเขียนเล่าถึง ความเจ็บปวดของแม่คนหนึ่งที่รู้ว่ากำลังจะสูญเสียลูกชายไป มากไปกว่านั้นคือ ความยากลำบากของหญิงชราที่ต้องมานอนเฝ้าลูกชายที่โรงพยาบาล หลังจากคอนเทนต์นี้ถูกเผยแพร่ไปก็มีผู้ติดตามจำนวนมากทักเข้ามา ทั้งให้กำลังใจ สอบถามรายละเอียด กระทั่งยื่นความประสงค์จะบริจาคช่วยเหลือคุณยาย รวมถึงผู้ป่วยยากไร้คนอื่นๆ ซึ่งตอนนั้นทางศูนย์การุณรักษ์จัดตั้ง ‘มูลนิธิการุณรักษ์’ ขึ้น หมอจึงทำหน้าที่สะพานเชื่อมให้ผู้ที่ต้องการบริจาคเข้ามาร่วมทำบุญกับทางมูลนิธิฯ เพื่อช่วยเหลือคนไข้ยากไร้ ซึ่งถือว่าเรื่องราวของคุณยายก็เป็นการต่อโอกาสให้กับคนไข้อีกมากมาย ในขณะที่คุณยายเองก็ได้รับการดูแลช่วยเหลือจากมูลนิธิฯ ไปด้วย”

ประคับประคองในเมืองไทย
“ตามนิยามขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative care) คือ มิติการดูแลสุขภาพอีกมิติหนึ่งที่เป็นการดูแลผู้ป่วยที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่คุกคามต่อชีวิต หรือเป็นโรคที่เขารับรู้ได้ว่าระยะเวลาของเขามีจำกัด ซึ่งการดูแลนี้จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของการดูแลคุณภาพชีวิตของคนไข้ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด โดยจะต้องเป็นการดูแลรักษา ป้องกัน รวมถึงการบรรเทาความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ รวมถึงไม่ได้ดูแลเฉพาะแค่ ‘ตัวคนไข้’ แต่เป็นการดูแลไปถึง ‘ครอบครัว’ ของคนไข้ด้วย
“หากเทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อน วันนี้ Palliative care ในประเทศไทยเดินทางมาไกลพอสมควร ปัจจุบันเรามีคุณหมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่ผ่านการฝึกอบรมเรื่อง Palliative care มากขึ้น ขณะที่ในภาคประชาสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Peaceful Death หรือสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ฯลฯ ก็มีการผลักดันนโยบายต่างๆ รวมถึงมีระบบให้บริการต่างๆ ในแต่ละโรงพยาบาลดีขึ้น รวมถึงในภาคประชาชนเองก็รับรู้และเข้าใจสิทธิ์การเข้าถึงการดูแลแบบประคับประคองกันมากขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าก็ยังมีอีก ‘หลายจุด’ ที่ต้องขับเคลื่อนและพัฒนากันต่อไป เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการดูแลแบบประคับประคองอย่างเท่าเทียม
“ส่วนแรก ก็คงเป็นเรื่องของความรู้และความเข้าใจของประชาชนในการเข้าถึงระบบการบริการหรือการดูแล Palliative care ส่วนที่ 2 ก็คือ ในส่วนของความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงองค์ความรู้ของบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นหมอ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องในหลายๆ ส่วน ซึ่งตรงนี้มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในระบบการศึกษาของบุคลากรทางการแพทย์
“ส่วนที่ 3 ก็คือ ในระดับนโยบายระดับประเทศ อยากให้ผู้บริหารในในระดับประเทศสนับสนุนสิทธิการรักษาและดูแลแบบประคับประคองให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการในการรักษา รวมถึงกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยประคับประคอง”

ก่อนจะขอยุติลมหายใจ
“การุณยฆาตเป็นเรื่องที่มีการพูดถึงกันมากขึ้นในสังคมไทย ขณะที่ในต่างประเทศหลายๆ ประเทศมีการเรียกร้องให้ออกกฎหมายการุณยฆาต ซึ่งบางประเทศผ่านเป็นกฎหมายแล้วก็มี เช่น สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกาในบางรัฐ ฯลฯ และหากสังเกตกันดีๆ ประเทศที่มีกฎหมายการุณยฆาตนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศที่มีระบบการดูแล Palliative care ที่ดี กล่าวคือ ก่อนที่คนไข้จะเข้าสู่การการุณยฆาตนั้น พวกเขาได้รับการดูแลประคับประคองและจัดการความไม่สุขสบาย ความทุกข์ทรมานทั้งกาย ใจ สังคม จิตวิญญาณอย่างเต็มที่แล้ว แต่คนไข้ก็ยังเลือกในแนวทางนั้น
“สำหรับประเทศไทยนั้น หมอจึงมองว่า ก่อนที่เราจะพูดถึงเรื่องการุณยฆาต จุดสำคัญที่เราต้องมาทบทวนกันก็คือ เราจะสามารถพัฒนาระบบการดูแลประคับประคองในประเทศนี้ให้ดี และประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมอย่างไรก่อน นี่คือด่านแรกที่สำคัญ และเมื่อถึงเวลานั้นการการุณยฆาตอาจจะไม่จำเป็นสำหรับคนไข้หลายๆ คนก็ได้ เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัว คนไข้ของเราหลายคนที่เผชิญกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจนถามหมอว่า ‘ขอให้การุณยฆาตได้ไหม’ หรือ ‘ขอให้ทำให้เขาจบชีวิตไปเลยได้ไหม’ แต่พอทีมประคับประคองเข้าไปดูแล จัดการ อาการปวด อาการเหนื่อย หรืออาการที่ทำให้เขาทุกข์ทรมาน จนทุกอย่างดีขึ้น และเราเข้าไปพูดคุยเพื่อประเมินเรื่องสภาวะจิตใจของเขา เราก็พบว่า จริงๆ แล้วคนไข้ไม่ได้อยากตาย ไม่ได้อยากได้รับการุณยฆาต นั่นแสดงว่าเมื่อทุกคนได้รับการดูแลที่ดีและรู้สึกว่าตัวเองยังมีคุณค่า มีความหมาย ก็มักจะเปลี่ยนความคิดที่อยากจากโลกนี้ไป นี่เป็นบทบาทสำคัญของทีมประคับประคองที่จะเข้าไปช่วยคนไข้”

ความหวังระยะท้าย
“ทุกวันนี้คนไข้ส่วนใหญ่หรือแม้แต่ประชาชน รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์หลายๆ คนมักจะเข้าใจผิดว่า การที่คนไข้มาถึงจุดที่ต้องดูแลแบบประคับประคองนั้น เป็นคนไข้ที่หมดหวังหรือสิ้นหวังกับการรักษาแล้ว รักษาต่อไม่ได้แล้ว แต่ความจริงแล้ว ในปัจจุบันนี้การดูแลแบบประคับประคองนั้นสามารถเดินควบคู่ไปกับการรักษาหลักได้ ยกตัวอย่าง คนไข้ที่ให้เคมีบำบัดหรือฟอกไต หรือในกลุ่มคนไข้ที่เจ็บป่วยในโรคเรื้อรังหรือรักษาไม่หาย ทีมประคับประคองสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสหสาขาวิชาชีพเพื่อดูแลควบคู่ไปกับคุณหมอเจ้าของไข้ได้ และเมื่อตัวโรคดำเนินแย่ลงในอนาคต จนการรักษาหลักเริ่มไปต่อไม่ได้ หรือต้องยุติการรักษาหลักลง บทบาทของทีมประคับประคองก็จะเริ่มมากขึ้น จะเห็นได้ว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นคนไข้อยู่ในระยะท้ายหรือใกล้เสียชีวิตเท่านั้น จึงจะมาเจอกับทีมประคับประคอง
“ความเข้าใจผิดตรงนี้ ทำให้คนไข้ส่วนใหญ่เมื่อต้องมาถึงมือทีมประคับประคอง เขามักจะรู้สึกหมดหวัง สิ้นหวังกับการรักษาแล้ว กลายเป็นงานที่เราต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือการสร้างความหวังใหม่ขึ้นมา โดยหมอมักจะพูดกับคนไข้เสมอว่า ถึงแม้ว่าตัวโรคของเขาจะไม่สามารถรักษาต่อได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าการรักษาจะสิ้นสุดลง เพราะยังมี ‘ทีมประคับประคอง’ ที่จะยังดูแลรักษาอยู่ เพียงแต่เราจะเปลี่ยนเป้าหมาย จากเดิมที่เรามุ่งเน้นไปจัดการตัวโรคมาเป็นการที่จะดูแลอย่างไรให้เขาอยู่อย่างสุขสบาย ทั้งกาย ใจ สังคม จิตวิญญาณ และอยู่อย่างไรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด รวมถึงอยู่อย่างไรให้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่นั้นมีความหมายมากที่สุด นี่คือมิติการดูแลรักษาอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่แค่การรักษาตัวโรค ฉะนั้น คนไข้ทุกคนที่มาถึงมือทีมประคับประคองไม่ได้ถูกทอดทิ้ง เขายังมีทีมหมอ ทีมพยาบาล ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่จะดูแลเขาอย่างเต็มที่ เพื่อให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีในขณะที่ยังมีลมหายใจ ถึงแม้ตัวโรคจะรักษาไม่หายก็ตาม
“ทั้งนี้ ระยะเวลาที่เหลืออยู่ ของคนไข้ที่ถูกส่งตัวมาหาทีมประคับประคองนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของคุณหมอเจ้าของไข้แต่ละท่าน หากเป็นคุณหมอที่เข้าใจการดูแลแบบประคับประคองว่า ไม่ใช่แค่รอใกล้เสียชีวิต หรือทำอะไรไม่ได้แล้วจึงส่งเข้ามา คุณหมอก็จะส่งคนไข้เข้ามาตั้งแต่ช่วงการรักษาในระยะแรกๆ ซึ่งก็มีคนไข้ที่มีชีวิตอยู่ได้ตั้งแต่ 6 เดือน 1 ปี หรือ 1 ปีครึ่ง หรือหลายๆ คนถึงปัจจุบันกว่า 2 ปีแล้ว ก็ยังใช้ชีวิตได้ตามปกติก็มี แต่ในกรณีคุณหมอเจ้าของไข้เข้าใจผิดว่า การดูแลแบบประคับประคองเป็นการดูแลผู้ป่วยใกล้เสียชีวิต คุณหมอก็จะส่งมาในช่วงการรักษาท้ายจริงๆ ซึ่งแน่นอนว่าคนไข้ก็จะอยู่กับเราเพียงหลักสัปดาห์ หลักวัน หรือบางรายก็เป็นหลักชั่วโมง
“นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณหมอหรือบุคลากรทางการแพทย์ควรมีความเข้าใจต่อ Palliative care อย่างแท้จริง เพราะจะช่วยให้คนไข้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพกับทีมประคับประคองได้ยาวนานขึ้น ทั้งในแง่ของการสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกันในการประคับประคองจิตใจคนไข้กับครอบครัว รวมถึงการจัดการอาการที่ไม่สุขสบายที่เกิดขึ้นได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องมาดูแลกันแบบชั่วโมงต่อชั่วโมง หรือวันต่อวันเท่านั้น ทำให้คนไข้และครอบครัวสูญเสียโอกาสหลายๆ อย่างในการดูแลกันและกันไป”

เมื่อลมหายใจสุดท้ายมาถึง
“หมอคิดว่าความตายนั้นเป็นเรื่องของมนุษย์ทุกคน ดังนั้น การเตรียมตัวตายก็เป็นเรื่องของทุกคนเช่นกัน โดยที่เราไม่จำเป็นต้องรอว่า เราต้องเจ็บป่วยระยะท้าย หรือเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง รักษาไม่หายแล้ว ค่อยมาตัดสินใจหรือคิดเรื่องนี้ แต่เราทุกคนสามารถวางแผนสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไว้ได้ตั้งแต่วันนี้ วินาทีนี้ หรือเดี๋ยวนี้เลย สิ่งนี้เรียกว่า การวางแผนดูแลล่วงหน้า (Advance Care Planning) เราทุกคนสามารถเตรียมตัว วางแผน และพูดคุยสื่อสารกับคนที่รักหรือคนในครอบครัวได้เลยตั้งแต่ตอนที่เรายังแข็งแรงดี และสามารถตัดสินใจเองได้
“เพราะการวางแผนดูแลล่วงหน้านั้น ไม่ใช่แค่เรื่อง…จะใส่ท่อช่วยหายใจไหม จะปั๊มหัวใจไหม หรือจะเจาะคอไหม ฯลฯ หากในอนาคตเราเจ็บป่วยวิกฤต จุดนั้นเป็นจุดเล็กๆ เกี่ยวกับหัถตการพยุงชีพเท่านั้น แต่การวางแผนดูแลล่วงหน้ายังทำให้เรามีโอกาสได้มาคิดทบทวน ใคร่ครวญคุณค่า ความต้องการ และสิ่งต่างๆ ในชีวิต รวมถึงคุณภาพชีวิต หรือชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในรูปแบบของเราเอง ฯลฯ ซึ่งหากทุกคนสามารถวางแผนเหล่านี้ได้ ก็จะทำให้คนในครอบครัว คนที่เรารัก รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลเรานั้นได้รับรู้ความต้องการที่แท้จริงของเรา ตรงกันข้ามหากเราไม่วางแผนไว้ เมื่อวันหนึ่งที่เราไม่สามารถพูดคุยสื่อสาร หรือไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ เนื่องจากไม่มีสติสัมปชัญญะแล้ว แน่นอนว่าย่อมสร้างความยากลำบากให้แก่คนในครอบครัว หรือคนที่อยู่ข้างหลังต้องมาคิดหรือตัดสินใจแทนเรา”

ความหวังดีที่อาจทำร้ายกัน
“ปัจจุบันนี้จะมีคำคำหนึ่งที่เราคงได้ยินกันบ่อยๆ คือ Acute กตัญญู Syndrome หรือแปลเป็นไทยว่า ภาวะกตัญญูเฉียบพลัน ซึ่งอธิบายกลุ่มอาการของญาติที่อยู่ห่างไกลหรือไม่เคยได้มาดูแล ‘ผู้ป่วยสูงอายุ’ ซึ่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในระยะท้าย และขอร้องให้แพทย์ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่หรือยื้อชีวิตให้ได้นานที่สุด แม้ผู้ป่วยจะต้องนอนติดเตียงหรือไม่รับรู้อะไรแล้วก็ตาม
“หมอคิดว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกขับเคลื่อนจากความรัก ความหวังดี หรือหลายๆ ครั้งก็อาจจะมาจากความรู้สึกผิด รู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกรับกับการสูญเสียไม่ได้ ฯลฯ พวกเขาจึงพยายามทำสิ่งที่คิดว่า ดีที่สุดสำหรับคนที่เขารัก โดยส่วนตัวหมอคิดว่า การที่เราจะตัดสินว่า เขาเป็น Acute กตัญญู Syndrome อาจจะไม่แฟร์กับหลายคนหรือหลายๆ ครอบครัว เพราะสิ่งที่พวกเขาทำก็มาจากพื้นฐานของความรักและความหวังดี
“ฉะนั้น เวลาที่หมอเจอสถานการณ์อย่างนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราต้องพูดคุยและทำความเข้าใจ เพื่อรับรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจของเขาคืออะไร ถ้าเป็นความรู้สึกผิด เราก็ต้องพยายามที่จะคลาย ความรู้สึกผิดนั้นให้เขา หรือถ้าเป็นความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจ เราก็ต้องพยายามที่จะเข้าไปดูแลประคับประคองจิตใจตรงนั้น เพื่อที่จะช่วยให้เขาได้ก้าวข้ามผ่านความรู้สึกนั้น
“ทุกวันนี้ หมอมักจะชวนหลายๆ คน รวมถึงตัวเองตั้งคำถามว่า ถ้าพรุ่งนี้เขาต้องจากเราไป เรามีอะไรที่เรารู้สึกเสียดายหรือยังไม่ได้ทำหรือเปล่า หมอคิดว่า การทำปัจจุบันให้ดีที่สุด จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่ต้องกลับมาตั้งคำถามหรือเกิดความรู้สึกผิด หรือพยายามที่จะยื้อชีวิต เพื่อทำให้เราเกิดความสบายใจ
“ถ้าวันนี้เราได้ดูแลเขาดีที่สุดแล้วก็จะไม่รู้สึกผิด แต่คำว่า ดูแลดีที่สุด ไม่ได้หมายความว่า เราต้องมาอยู่กับเขาตลอดเวลา เพราะในปัจจุบันนี้ทุกคนต่างต้องทำหน้าที่ของตัวเอง บางคนต้องไปทำงานไกลๆ ไม่ได้อยู่ดูแลท่าน แต่ก็ส่งเงินมาจุนเจือให้ครอบครัวหรือพ่อแม่ หมอคิดว่านั่นเป็นบริบทหนึ่งในการดูแล ฉะนั้น คำว่า ดีที่สุด เราคงหาจุดที่เป็นคำตอบของคำว่า ดีที่สุด ไม่ได้ แต่ขอแค่เราดูแลกันอย่างเต็มที่ เต็มกำลังเท่านั้น…ก็คงเพียงพอ”
___
เรื่อง : เพชรภี ปิ่นแก้ว
ภาพ : วุฒินันท์ จันโทริ