ณัฐณิชา พิมพ์พาพ์ ‘อ่อนแอได้’ เพื่อปลอบโยนใจให้ ‘แข็งแรง’ กว่าเดิม

การเมตตาตนเอง หรือ self-compassion เป็นหนึ่งในกระบวนการเยียวยาจิตใจ และเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความห่วงใย ความเอาใจใส่ และใจดีต่อตัวเอง รวมไปถึงการยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นและรู้สึก ไม่เว้นแม้แต่ข้อเสีย ความผิดพลาด หรือความอ่อนแอ สำหรับนักเขียนและนักวาดภาพประกอบ เจ้าของเพจ ‘พิมพ์พาพ์’ อย่าง ‘แองเจิ้ล – ณัฐณิชา พิมพ์พาพ์’ เราได้เห็นสิ่งคล้ายๆ กันนี้ผ่านวิธีคิดที่เธอใช้รับมือกับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเมื่อ 4 ปีก่อนว่า เราไม่จำเป็นจะต้องเข้มแข็งหรือฮึดสู้ทุกวัน แต่คือการทำความเข้าใจว่าความเหนื่อยและอ่อนแอเป็นเรื่องปกติ และเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของมนุษย์อย่างเราๆ ที่ไม่มีใครในโลกนี้สมบูรณ์แบบ ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่เธอใช้รับมือกับช่วงเวลายากๆ ที่ผ่านมาได้อย่างดี

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Non Hodgkin’s Lymphoma

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2560 แองเจิ้ลมีอาการคอบวม หน้าบวม เจ็บคอ รวมถึงไอแห้งๆ เธอเริ่มเหนื่อยง่ายจนการใช้ชีวิตของเธอเริ่มยากขึ้น เธอนั่งยองๆ ไม่ได้หรือแค่เดินขึ้นบันไดก็ต้องหยุดพักอยู่หลายครั้ง เธอตัดสินใจเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งเวลานั้นคุณหมอวินิจฉัยว่านี่เป็นอาการของโรคต่อมทอนซิลอักเสบ แต่แม้จะทานยาอยู่เกือบ 2 เดือน อาการต่างๆ ยังคงไม่ดีขึ้นจนเธอเริ่มท้อ

“ตอนนั้นเราเริ่มมีไข้ต่ำๆ เหงื่อออกตอนกลางคืน คุณหมอจึงตัดสินใจส่งไปเอกซเรย์และเจอก้อนขนาดใหญ่อยู่บริเวณหัวใจกับปอด ตรวจคลื่นหัวใจเจอว่ามีน้ำอยู่ในเยื่อหุ้มหัวใจ คุณหมอขอเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ ผลออกมาว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮอดจ์กิน (Non Hodgkin’s Lymphoma) ระยะที่ 2 ตอนนั้นประมาณเดือนมีนาคม ปี 2561”

เธอเริ่มการรักษาด้วยการทำคีโมสูตร RCHOP แต่เมื่อใกล้จะครบ 6 คอร์สตามกำหนด มะเร็งกลับดื้อยาและโตขึ้นมาใหม่ คุณหมอจึงต้องเปลี่ยนมาให้คีโมสูตรที่แรงขึ้น แต่ด้วยก้อนมะเร็งยุบๆ โตๆ อยู่พักหนึ่งจนทำให้เธอต้องเปลี่ยนการรักษาอีกครั้งด้วยการฉายแสงแบบชุดใหญ่ 40 แสง กระทั่งถึงการทรีทเมนท์ครั้งสุดท้ายที่อาการของเธอเริ่มนิ่ง

“คุณหมอให้เราลองรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด หรือ Immunotherapy อยู่ ปัจจุบันโรคมะเร็งของเราสงบมาเกือบ 3 ปีแล้ว ไม่ได้ทานยาอะไรเลย มีแค่นัดทำเอกซ์เรย์ CT Scan และติดตามอาการทุกๆ 3 เดือน เพิ่งจะได้เริ่มนัดเป็นทุก 6 เดือนไม่นานมานี้ โดยรวมเราใช้ชีวิตได้ปกติ มีเหนื่อยง่ายบ้าง เพราะยังมีก้อนและผังผืดที่ปอดอยู่ ตอนนี้เราดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดแบบไม่เคร่งมาก ระวังเรื่องการทานบ้าง แต่ไม่ตึงจนเกินไป”

ใช้กิจกรรมช่วยสำรวจจิตใจ

“ตอนป่วยเราเริ่มเขียนบันทึกทุกวันเพื่อระบายความคิดและความรู้สึก ผสมกับการวาดรูปลงไปในสมุดของเรา เราใช้สมุดบันทึกของ Art for Cancer ที่เป็นบันทึกพิชิตมะเร็งด้วยนะ ซึ่งหลายๆ หน้าในนั้นเป็นกำลังใจและให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตร่วมกับโรค เรารู้สึกว่าตัวเองยังต้องพยายามใช้ชีวิตต่อไปและใช้มันอย่างดี สำหรับเรา การวาดภาพกับการเขียนบันทึกช่วยให้เราเห็นความรู้สึกเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ตอนนี้อาจจะไม่ได้บันทึกทุกวันเหมือนช่วงที่ป่วย แต่ยังคงบันทึกอยู่เรื่อยๆ ทั้งสองกิจกรรมนี้ทำให้เราเข้าใจอารมณ์และความคิดของตัวเอง ได้ระบายความรู้สึก ความคิดต่างๆ ที่มันอัดแน่นอยู่ภายใน

ส่วนเรื่องการออกกำลังกาย เมื่อก่อนช่วงรักษาอยู่เราจะชอบไปเดินเล่นที่สวนแถวบ้านตอนเย็น เดินเล่นใต้ต้นไม้ ดูลมที่พัดใบไม้ สัมผัสความเย็นสบายของลม นั่งมองท้องฟ้า รู้สึกผ่อนคลายมาก อยากให้กรุงเทพฯ มีพื้นที่ดีๆ แบบนี้อีกเยอะๆ แต่พอสองปีมานี้ที่เจอฝุ่นและโควิดเลยไม่ค่อยกล้าออกไปบ่อยๆ เราชอบเล่นโยคะด้วย เล่นเองที่บ้านแบบเปิดคลิปในยูทูบแล้วทำตาม แต่ไม่ได้เก่งนะคะ (หัวเราะ) เราชอบที่โยคะสอนให้เราสามารถกำหนดลมหายใจ ช่วยดึงความคิดตัวเองให้กลับมาอยู่ ณ ตรงนั้น เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง ได้ฟังร่างกายตัวเอง นอกเหนือไปจากผลลัพธ์ทางร่างกายที่เราได้แล้ว”

It’s okay to not be okay

“จริงๆ ตอนรู้ว่าเป็นมะเร็ง เราไม่ช็อคเลย เพราะเราเหนื่อยมาจากการหาโรคไม่เจอและต้องทานยาทุกวันอยู่ 2 เดือน พอเจอว่าเป็นมะเร็ง เราคิดแค่ว่า “โอเค รู้สาเหตุแล้ว จะได้รักษาให้ถูกจุดสักที” ซึ่งก่อนจะให้คีโมเรามีกำลังใจดี สดใส สังเกตร่างกายตัวเองทุกวัน รู้สึกว่าร่างกายยังแข็งแรง ทานได้ นอนหลับ ถ่ายออก หายใจสะดวก ไม่ค่อยเครียดมาก เพราะคิดว่าตัวเองจะหายได้จริงๆ ซึ่งเวลานั้นไม่ได้มีใครหรืออะไรทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือจุดจบของชีวิต เรามีความหวังเสมอว่าตัวเองจะหายและกลับไปใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นมา ได้ทานของอร่อยๆ ได้ไปข้างนอก อยู่แบบที่ไม่ต้องเจ็บป่วยอีก เราให้กำลังใจตัวเองตลอดว่าเป็นได้ก็หายได้ รู้สึกว่าต้องเข้มแข็งและผ่านไปให้ได้

แต่ร่างกายของเราค่อยๆ แย่ลงจากการทำคีโมทำให้เราไม่ค่อยมีแรงเดิน ต้องเจอกับอาการคลื่นไส้ ตอนนั้นจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนผักต้มที่ต้องทานทุกวัน ไม่สดชื่น ไม่ร่าเริง อ่อนปวกเปียก และจืดชืดไปหมด อุปสรรคสำหรับเราอีกอย่างคือการที่โรคที่เราเป็นไม่ค่อยตอบสนองยา ช่วงที่เจอคีโมหนักๆ ยอมรับว่าท้อและเหนื่อย เป็นคนเกลียดการทานยาขมๆ ด้วย ตอนนั้นทรมานมาก เราเชื่อว่าคนที่เคยรักษาและมีอาการคล้ายๆ กันน่าจะเคยรู้สึกแบบเดียวกับเรา มันเป็นวงจรที่ไม่มีวันจบ ให้ยา-คลื่นไส้-เบื่ออาหาร-เพลีย พอเริ่มแข็งแรงขึ้นไม่กี่วันก็ต้องกลับมาให้ยาใหม่อีกแล้ว ตอนนั้นแค่ได้ยินคำว่ามะเร็งหรือคีโมก็รู้สึกผะอืดผะอมแล้ว

เราคิดว่าสิ่งที่ทำให้เรามีแรงสู้ได้ ส่วนหนึ่งคงเพราะคนรอบๆ ตัว ทั้งครอบครัวและเพื่อนที่คอยให้กำลังใจเสมอ คุณหมอที่พยายามช่วยเหลือและดูแลเราอย่างเต็มที่ รวมถึงตัวเราเองด้วยที่รู้สึกว่าไม่ได้อยากยอมแพ้ เพราะอย่างที่บอกว่าเรามีความหวังมากๆ ว่าจะต้องดีขึ้น ได้กลับไปทานอาหารอร่อย นั่นคือเป้าหมายเลย (ยิ้ม) ซึ่งเวลารู้สึกแย่ ท้อแท้ และเสียใจเกิดขึ้น เราค่อยๆ ฮึบตัวเองขึ้นสู้ใหม่เพราะพวกเขาเหล่านี้แหละที่มาคอยคุย ถามไถ่ และให้กำลังใจ ตอนนั้นเราบอกกับตัวเองว่า จริงๆ เราไม่ต้องเข้มแข็งหรือแข็งแรงตลอดเวลาก็ได้ สำหรับเรามันโอเคนะที่จะยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ เวลานี้เราเลยไม่เก็บหรือกดความรู้สึกตัวเองอีกแล้ว ไม่พยายามที่จะเข้มแข็งถ้าไม่ได้รู้สึกแบบนั้น แต่เราจะพยายามใส่ใจ ฟังความรู้สึกตัวเอง และมีสติกับชีวิตที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน ช่วงเวลาที่ผ่านมาเราเองต้องขอบคุณคนรอบข้างและอยากบอกพวกเขาว่าเรารู้สึกขอบคุณอยู่เสมอ และอยากขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมแพ้ อยากบอกตัวเองว่า เธอเก่งมากๆ เลยนะที่ผ่านมาได้”

มะเร็งเพื่อนฉัน

“มุมมองต่อมะเร็งของเราไม่ได้ต่างจากเดิมมาก เรายังเชื่อว่ามะเร็งเป็นโรคที่รักษาได้ แต่อาจจะเหนื่อยและต้องต่อสู้กับโลกภายนอกและโรคภายในมากหน่อย แม้มะเร็งจะไม่ใช่โรคที่ใจดีเท่าไหร่ แต่พอได้เจอกันแล้ว เขาสอนให้เราเข้าใจชีวิตได้ดี ความจริงในมุมของเรา หลังจากผ่านการรักษามาทั้งหมด เรารู้สึกกลัวผลข้างเคียงที่เกิดจากการรักษาด้วยคีโมมากกว่าตัวมะเร็งจริงๆ เสียอีก (หัวเราะ) พอเรารักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด เรารู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงและมีพลังในชีวิตเยอะกว่าเก่ามาก ในใจยังขอบคุณการรักษานี้อยู่ตลอด อยากให้ทุกคนได้เข้าถึงการรักษาที่ดีแบบเรา

ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราอยากไล่มะเร็งออกไปให้เร็วที่สุด แต่ตอนนี้เรามองว่ามะเร็งว่าเป็นเพื่อนไปแล้ว เราจะบอกกับมะเร็งเสมอว่าให้อยู่อย่างสงบด้วยกันไปเรื่อยๆ ก่อนนะ และได้เห็นว่าหลายๆ คนที่เคยป่วยเป็นมะเร็งก็คิดแบบเดียวกันว่ามะเร็งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่อยู่ด้วยกันไปแล้ว”

เต็มที่กับชีวิต

“การมองโลกของเราเปลี่ยนไปมาก เหมือนเพิ่งได้เริ่มมีชีวิตจริงๆ หลังจากที่เป็นมะเร็ง เรารู้สึกว่าตัวเองเข้าใจเหตุผลในการมีชีวิตมากขึ้น สำหรับเรา การมีชีวิตอยู่คือการอยู่เพื่อรู้สึกทุกอย่าง ไม่ว่าจะดีหรือแย่ แล้วก็แค่ทำงานกับมันไปในทุกๆ วัน เรารู้แล้วว่าไม่มีอะไรโลกที่แน่นอนจริงๆ มะเร็งทำให้เราซาบซึ้งกับชีวิตที่มีอยู่ รู้สึกดีที่ตื่นมาแล้วยังหายใจ คิดเสมอว่าการไม่เจ็บป่วยคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เราพยายามไม่เสียเวลาชีวิตไปกับอะไรที่เป็นพิษกับใจตัวเอง ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น พยายามไม่เก็บความทุกข์ความเครียดไว้นาน รักร่างกายตัวเองได้ดีกว่าเดิม รักชีวิตของตัวเอง เราจึงพยายามทำทุกๆ วันให้ดี ให้เต็มที่เท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากรู้สึกเสียใจที่เสียโอกาสไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้น แต่ก่อนเราเคยคิดอยู่นานมากว่าทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นกับเรา สาเหตุของมะเร็งจริงๆ คืออะไร แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้เลย จนตอนนี้ คำถามที่เคยเกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไปแล้ว แต่คือการที่เราจะจัดการกับสิ่งที่เราเผชิญอยู่อย่างไรต่อ เราเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบไหน และเป็นคนอย่างไรต่อไปมากกว่า”

เหนื่อยก็พัก หนักก็วาง พร้อมแล้วลุยต่อ

“สิ่งที่เราแนะนำได้ คงเป็นสิ่งที่เราปฏิบัติกับตัวเองมาแล้ว อย่างแรกคือการทาน เราลดการทานอะไรที่ทำให้ร่างกายอักเสบได้ง่าย เช่น น้ำตาล ของแปรรูป ของดอง ของดิบ เนื้อแดง ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ แต่ในมุมของเรา เราจะไม่เคร่งและไม่เครียดจนเกินไป เราให้อาหารใจกับตัวเองบ้าง ทานของที่อยากทาน ขณะเดียวกัน เราไม่ลืมที่จะทานของที่ดีต่อร่างกายด้วย สิ่งที่เราทำคือการหาความสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ ทานทุกอย่างแบบพอดีๆ ไม่มากไม่น้อยเกินไป

อีกเรื่องที่เราให้ความสำคัญคือเรื่องความเครียด ทุกวันนี้เรายังเจอเรื่องที่มากระทบจิตใจ มีความกังวล ความเศร้า แต่เราจะไม่ค่อยเก็บให้ไหลวนในตัวเรานานๆ แต่จะระบายออกมา คุยกับเพื่อนหรือคนที่เรารู้สึกไว้ใจ เล่นกับแมว ปรึกษานักจิตบำบัด หากิจกรรมที่ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลาย หลังจากป่วยทำให้เรารู้สึกว่าบางทีเราไม่ต้องไปอะไรมากกับชีวิต แค่ไม่เจ็บป่วยคือของขวัญที่ดีที่สุดของชีวิตแล้ว พยายามใช้ชีวิตที่เราอยากใช้เท่าที่จะทำได้ อีกอย่างที่ไม่ควรลืมคือการพักผ่อนและออกกำลังกาย ทำอย่างไรก็ได้ให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ถ้าภูมิคุ้มกันแข็งแรงก็จะลดความเสี่ยงที่จะเจอมะเร็งไปได้เยอะแล้วนะ

แน่นอนว่าการเผชิญและรักษาโรคมะเร็งไม่ง่ายเลย เราอยากบอกว่าเราเข้าใจทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์นี้แบบสุดๆ ถึงจะสู้จะมีกำลังใจมากแค่ไหน มันจะมีสักหนึ่งวันที่ความหวังของเราที่เคยสร้างพังทลายและหายไปต่อหน้าต่อตา เราอยากบอกว่า คุณเก่งมากที่ต่อสู้มาตลอด คุณจะผ่านมันไปได้ อยากให้ขอบคุณตัวเองทุกครั้งที่ได้พาตัวเองผ่านเรื่องยากๆ ถ้ารู้สึกเหนื่อยก็พักก่อน ถ้ารู้สึกท้อปล่อยให้มันเป็นไป อย่างเดียวเลยคุณอย่าเพิ่งยอมแพ้ จนเมื่อคุณพร้อมแล้วค่อยกลับมาลุยต่อ”

เรื่อง: สุดาพร จิรานุกรสกุล  
ภาพ: ศรัณย์ แสงน้ำเพชร
ภาพเพิ่มเติม: ณัฐณิชา พิมพ์พาพ์

Share To Social Media