“ฉันต้องหาย” คือเป้าหมายของ ณัชชา พงษ์ภูริพัฒน์ ในการต่อสู้กับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่ 3

ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน ชีวิตของ ณัชชา พงษ์ภูริพัฒน์ (ตาล) กำลังไปได้สวยกับการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวของเธอ ชีวิตที่อิสระขึ้น เวลาว่างที่มากขึ้น พร้อมๆ กับรายได้ที่มั่นคง ขณะที่อีกฟากฝั่ง ตาลก็ใช้ชีวิตแบบเดียวกับเราๆ ท่านๆ ในวัย 30 ต้นๆ ที่คำว่า “นอนดึก ตื่นสาย ทานอาหารไม่เป็นเวลา ลุยไปทุกที่ที่อยากไป” เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ในเวลานั้น ทุกอย่างดูปกติดีและไม่มีสัญญาณความเจ็บป่วยรุนแรงแสดงให้เห็น

เมื่อมะเร็งเข้ามาทักทาย

ตาลไม่ได้มีอาการหรือความรู้สึกเจ็บป่วยอะไรก่อนหน้านี้ แต่ไปสะดุดกับก้อนนูนๆ ที่ไหปลาร้าตอนอาบน้ำ ขนาดประมาณเม็ดลูกชิด ตอนแรกคิดว่าเพราะไปออกกำลังกายหนักรึเปล่า ตาลโทรหาเพื่อนที่เป็นหมอ เพื่อนบอกว่าเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบเพราะบริเวณที่เจอก้อนเป็นแนวของต่อมน้ำเหลืองพอดี พอไปถึงโรงพยาบาล คุณหมอให้ยามาทานก่อนประมาณ 2 สัปดาห์ เพราะอาการอื่นๆ ที่จำเพาะลงไปตาลไม่มีเลย”

เวลานั้น เธอคิดว่าทานยาแล้วก็คงหายและไม่ได้คิดถึงมะเร็งแม้แต่น้อย แต่ก้อนนั้นก็ยังไม่หายไป เธอใช้เวลาในการตรวจหาสาเหตุและเข้าออกโรงพยาบาลอยู่หลายเดือนจนกระทั่งตัดสินใจย้ายโรงพยาบาลเพื่อขอความเห็นที่ 2 จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และพบว่าเธอเป็นมะเร็งต่อมที่น้ำเหลือง  

“หลังจากทราบผล คุณหมอส่งตาลไปพบคุณหมอโรคเลือดเพื่อให้เขาอธิบายแนวทางการรักษา ซึ่งตาลเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin Lymphoma คุณหมอบอกว่าเป็นมะเร็งแบบ cute cute ตาลจำคำนี้ได้เลย (ยิ้ม) ซึ่งอัตราการหายขาดค่อนข้างสูง ประมาณ 80-90% ตาลก็โล่งใจ โดยแนวทางการรักษาหลักๆ คือการให้คีโม จากตรงนั้นตาลย้ายมาที่โรงพยาบาลรัฐบาลเพื่อไปเจาะไขสันหลังและทำ CT Scan เมื่อทราบระยะของโรค คุณหมอก็สามารถประเมินจำนวนคีโมได้ ผลออกมาตาลเป็นระยะที่ 3 ต่อมน้ำเหลืองลามกระจายมาที่ช่องอกและท้อง แต่ยังไม่ลามมาที่ไขสันหลัง การรักษาคือให้คีโม 8 เดือน เดือนละ 2 ครั้ง ทุกๆ 15 วัน ทั้งหมด 16 ครั้ง ตาลโชคดีคือคีโมอย่างเดียวแล้วจบ เพราะตัวมะเร็งไม่มีก้อนไหนใหญ่เป็นพิเศษและไม่ได้ไปกดทับอวัยวะส่วนไหน ดังนั้นคีโมเลยสามารถจะเคลียร์เซลล์มะเร็งได้หมด ตาลเริ่มคีโมปี 2015 จบ 2016 ประมาณปีกว่าๆ ตอนนี้หายครบ 5 ปีเมื่อเมษายน 2020 ที่ผ่านมา”  

“ต้องหาย” เป้าหมายที่ตั้งไว้เพื่อพุ่งชน 

“ตอนนั้นคิดละว่าโอเคเจอ เป็น ช่างมัน จากนั้นตาลตั้งเป้าหมายกับตัวเองชัดเจนมากคือ ฉันจะต้องไม่ตายด้วยมะเร็งและต้องไม่ตายด้วยอายุเท่านี้ จะต้องหาย และเชื่อฟังคุณหมอในระดับหนึ่ง (หัวเราะ) เพราะคุณหมอจะซีเรียสเรื่องการทานมาก ช่วงแรกๆ ที่รักษา ทั้งตาลคุณแม่เคร่งสุดๆ อาหารอะไรที่คนเขาว่ามีประโยชน์จัดมาหมด ปรากฏทานไม่ได้เลย ไม่อร่อย ทานไม่ลง คีโมครั้งแรกตาลแย่เลยนะ น้ำหนักลด 2 กิโล ใน 1 สัปดาห์ ซึ่งตาลเป็นคนผอมอยู่แล้ว 2 กิโลถือว่าเยอะเลย หลังจากนั้นเลยตั้งหลักใหม่หมด ให้แม่ทำอาหารมาแบบที่เคยทำ แต่ให้รสอ่อนลง คุณแม่ก็ประณีตมากขึ้นในเรื่องความสะอาด จะมีสั่งอาหารข้างนอกมาทานบ้าง เหมือนเป็นอาหารใจที่ทำให้เรามีความสุขวันนั้นมากกว่า ระหว่างการรักษา ตาลยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมคือหลังจากให้คีโม 3-5 วัน พอได้พักเต็มที่ตาลก็ออกไปข้างนอก แต่จะเลือกสถานที่ที่เป็นเอาท์ดอร์ มีอากาศถ่ายเท แทบไม่เดินห้าง ไม่ไปโรงหนังเลย แล้วออกต่างจังหวัดบ่อยขึ้น” 

หัวใจชุ่มชื้นด้วยน้องหมาบำบัด 

“หมาตาล 2 ตัวนี้ทำให้ตาลมีกำลังใจขึ้นมาก ตอนตาลตรวจเจอมะเร็ง ยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอผ่านไป 3 วัน เหมือนตกตะกอนได้ว่าเป็นมะเร็ง ก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมซวยจัง ตาลนั่งร้องไห้ ลูกหมาก็มานั่งเลียน้ำตาเรา ตาลเลยบอกกับพวกเขาว่า “โอเค หม่ามี้หยุดแล้ว” แล้วบอกตัวเองว่าฉันจะอยู่เห็นมันแก่ตายไปด้วยกัน เจ้า 2 ตัวนี้เป็นกำลังใจสำคัญเลยนะ ตาลรู้สึกเลยว่าเรื่องสัตว์บำบัดใช้ได้ผลจริงๆ เรื่องจิตใจ”

กำลังใจจากตัวเอง ส่งต่อพลังสู่คนรอบข้าง

“สิ่งที่ยากสำหรับตาลอย่างหนึ่งก็คือการที่ต้องบอกพ่อแม่ว่าเราเป็น สิ่งที่ทำได้คือบอกเขาว่า ไม่เป็นไรหรอกหมอบอกว่ารักษาหาย ตาลต้องให้กำลังใจตัวเองและให้กำลังใจคนรอบข้างด้วย เพราะถ้าพวกเขาดาวน์ มันก็เอาเราดาวน์ลงไปด้วย โดยเฉพาะพ่อแม่ เขาคิดไปไหนแล้ว สิ่งที่เราทำได้คือต้องทำให้เขาไม่ห่วง ต้องรอด เพราะฉะนั้น ตลอดการรักษา ร้องไห้ครั้งนั้นครั้งเดียว ดังนั้นนอกจากตาลจะดูแลใจตัวเองตาลแล้ว ก็จะดูแลใจเผื่อไปถึงคุณพ่อคุณแม่ด้วย ตาลต้องสร้างกำลังใจให้ตัวเองก่อน พอเราเป็นหลักให้ตัวเองได้ กลายเป็นว่าเหมือนกระจกสะท้อนเลย คนรอบข้างเขาก็ไม่ได้มองว่าเราป่วย เราก็จะได้บรรยากาศที่ดีๆ ตอบกลับมา พอบรรยากาศดีก็ทำให้เรามีความสุข มันทำให้เราไปต่อไหว” 

ตามหาความสุขวันละหนึ่งอย่าง 

“ตื่นมาทุกๆ วัน นอกจากตาลจะเห็นตัวเองว่ายังแข็งแรงดี ยังอาบน้ำ สระผม แปรงฟันได้แล้ว อย่างน้อยๆ ตาลจะหาความสุขให้ตัวเองหนึ่งอย่าง ไม่มากก็น้อยมันต้องมี แล้วกลายเป็นว่าตาลหาความสุขจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้มากขึ้น เหมือนมันช่วยต่อชีวิตเราทีละนิดๆ ตาลจะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง แล้วก็พบว่า ชีวิตเราผ่านไปได้อีกหนึ่งวันแล้วนะ”  

“ความไม่แน่นอน” สัจธรรมที่มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น

“พอตาลรักษาจบ มุมมองชีวิตตาลเปลี่ยนไปเลย เรามองเห็นความไม่แน่นอนของชีวิต เลยรู้สึกว่าอะไรที่อยากทำตาลก็จะทำ ถ้าเป็นเรื่องที่ควรจะต้องทำนะ จะไม่รีรอเหมือนแต่ก่อนแล้ว อยากเจอเพื่อน ก็ไปหาเลย ซึ่งมะเร็งได้เข้ามาปรับกระบวนการคิดของตาลให้เราอยากใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าวันหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา กระบวนการคิดเกี่ยวกับคนรอบๆ ตัวก็เปลี่ยน ตาลโกรธและโมโหน้อยลง เกลียดแทบไม่มีแล้ว แต่พื้นเดิมของตาล เรื่องพวกนี้ก็น้อยอยู่แล้ว ตาลเห็นคุณค่าสิ่งรอบตัวง่ายขึ้นและมองว่าไม่มีอะไรที่จะอยู่กับเราไปนานๆ วันนี้นั่งยิ้ม พรุ่งนี้อาจจะตายไปแล้ว เรียกว่าใช้ชีวิตง่ายขึ้น ความซับซ้อนในการใช้ชีวิตน้อยลง สื่อสารกับคนรอบตัวมากขึ้น”

ไม่มีอะไรนอกจาก “ขอบคุณ” จากใจ

ต้องขอบคุณทุกคนรอบตัว อย่างน้องหมาอาจจะไม่รู้ก็ได้นะว่ามันทำอะไรให้เรา แค่มันกระดิกหางวิ่งมาหา เราก็มีความสุขแล้ว คุณแม่นี่ตาลต้องขอบคุณมากๆ เพราะเขาต้องตื่นก่อนเรามาเตรียมอาหาร นอนหลังเรา ถึงเขาจะบ่น แต่เขาเป็นห่วงอยากให้เราหาย ตาลรู้เลยถ้าไม่มีแม่มาคอยบังคับดูแล การรักษาเราอาจจะสะดุดก็ได้ ถ้าร่างกายเราไม่แข็งแรงสักช่วงใดช่วงหนึ่ง การให้คีโมอาจจะไม่ราบรื่นแบบที่ผ่านมา เราจะดูแลตัวเองโดยที่มันจะดีแบบนี้ไม่ได้เลยถ้าไม่มีครอบครัวมาซัพพอร์ต เพื่อนโด๊ปตาลสุดๆ แล้วตาลก็โชคดีที่เพื่อนน่ารัก เราบอกไม่ให้ดราม่ามันก็ไม่ดราม่า แล้วพอเรามีความสุข เราก็มีกำลังใจที่จะตื่นขึ้นมาในทุกๆ วัน ตาลไม่มีอะไรจะบอกนอกจากขอบคุณ ขอบคุณมากจริงๆ” 

ความสุขที่ยกระดับขึ้นกว่าเดิม    

“ตาลรู้สึกว่าความสุขในชีวิตตาลเพิ่มขึ้น หลังจากที่หาย ตาลหาความสุขให้ตัวเองง่ายขึ้น เวลาได้ช่วยคนนิดๆ หน่อยๆ ได้ช่วยสุนัขข้างทาง แต่ก่อนความสุขตาลอาจจะอยู่ระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้ไปเป็นสามหรือสี่แล้ว ระหว่างการรักษา ตาลเห็นความยากในการรักษาของคนอื่นๆ พอเราผ่านตรงนั้นมาได้ เราก็รู้ว่าตัวเองโชคดีมาก เพราะฉะนั้น อะไรที่จะรบกวนจิตใจตาลจะปัดออก เราเสียเวลาไปมากแล้วกับการรักษา เพราะฉะนั้นวินาทีหลังจากนี้เราจะไม่ทุกข์อีกแล้ว หลังจากนี้ไปจะต้องใช้ชีวิตให้มีคุณภาพมากขึ้น มีความสุขง่ายขึ้น”

พวกคุณเก่งมาก เก่งมากจริงๆ

“เอาจริงๆ มีทั้งคนป่วย ยังไม่ป่วย และสงสัยว่าจะป่วยทักมาคุยกับตาลเยอะ สำหรับตาล ตาลรู้สึกว่ายากเหมือนกันนะเรื่องการให้กำลังใจคน เพราะเขาคิดไม่เหมือนเรา จะทำให้เขาหายเศร้าหรือเลิกคิดมาก เป็นสิ่งไม่ง่ายเลย แต่ทุกครั้ง ตาลจะบอกทุกคนที่คุยว่าใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด

สำหรับคนที่ป่วยอยู่ตอนนี้ ตาลอยาบอกว่า “คุณโครตเก่งเลย เก่งมากๆ แล้วนะ” ที่ผ่านการรักษามาได้ขนาดนี้ อย่าเพิ่งเหนื่อย แล้วก็จะถามว่าเขามีอะไรที่อยากทำไหม ถ้ามี ต้องพยายาม ต้องหาย ต้องบอกกับตัวเองว่าวันนี้เราต้องไม่ตาย และพาตัวเองไปในจุดที่จะหายให้ได้เพื่อเป้าหมายที่คุณมี ตาลพยายามให้กำลังใจแบบที่เป็นความจริง ไม่ขายฝัน เพราะตาลเองก็มาแนวทางนี้เหมือนกัน

สำหรับคนที่มีคนรอบตัวกำลังป่วย ตาลอยากให้พวกคุณเป็นพลังบวก ดีกว่าจะมาแสดงพลังเทาๆ มาร้องไห้ มาเศร้า ลองพาเขาไปทำอะไรก็ได้ให้ลืมป่วย เป็นพลังดีๆ รอบตัวให้พวกเขา” 

เรื่อง: สุดาพร จิรานุกรสกุล (Sudaporn Jiranukornsakul)  
ภาพ: วริษฐ์  สุมนันท์ (Varit Sumanun)
ภาพบางส่วน: ณัชชา พงษ์ภูริพัฒน์ (Natcha Pongpuripat)

Share To Social Media