ฉันคิดอยู่เสมอว่า…
ฉันมีคุณค่ากับใครหลายคนบนโลกใบนี้ ‘ฉันตายไม่ได้’
โลกใบนี้ยังมีอะไรสนุกๆ ให้ทำอีกเยอะ อย่าเพิ่งรีบตาย
ทุกเรื่องราวมีทั้งด้านดีและไม่ดี และฉันจะเลือกมองในด้านดี
ช่วงเวลานี้เป็นบททดสอบหนึ่งของชีวิตที่ฉันจะต้องผ่านมันไปให้ได้
มะเร็งทำร้ายได้แค่ร่างกายเรา แต่ไม่สามารถทำร้ายจิตใจของเราได้
ถ้าเรามีจิตใจที่เข้มแข็งพร้อมที่จะสู้ต่อไป
….
บางส่วนจากบทความ ‘เมื่อฉันรู้ว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง’ งานเขียนจากประสบการณ์ตรงของ จี๋-จิตรลดา ทรัพย์สุข ซึ่งขณะนั้นอยู่ในสถานะผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ชนิด CD20-positive ระยะ 2A เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้ผู้ป่วยมะเร็งด้วยกันในงาน ‘ปาฏิหาริย์-เปลี่ยนมะเร็ง-ให้เป็นสุข : Miracle is all AROUND ครั้งที่ 2’ ซึ่งจัดโดยชมรมโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแห่งประเทศไทย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2558 หรือกว่าสิบปีมาแล้ว ด้วยเรื่องราวรวมถึงมุมมองต่อโรคมะเร็งที่ผิดแผกแตกต่างจากผู้คนในสมัยนั้น ทำให้เรื่องราวของเธอกลายเป็นไวรัลบนโลกโซเชียล รวมถึงสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ถูกทาบทามให้เป็นพรีเซนเตอร์ของบริษัทประกันเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย เพื่อส่งสารเตือนคนรุ่นใหม่ให้หันมาใส่ใจกับสุขภาพตัวเองมากขึ้น
ภาพของสาวปากแดง หัวโล้น ใส่แว่นตาดำ แต่งตัวตามสมัยนิยม และใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายในขณะป่วย กลายเป็นไอคอนของผู้ป่วยมะเร็งในอุดมคติที่ดึงดูดทุกสายตา ภาพของเธอถูกเผยแพร่ไปตามสื่อต่างๆ ขณะที่สื่อมวลชนทุกแขนงต่างพร้อมใจกันตั้งฉายาไปในทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหญิงแกร่ง, หญิงเหล็ก, สวยสู้มะเร็ง, ผู้ป่วยมะเร็งที่สวยที่สุดใน 3 โลก, โล้นซ่า ทั้งยังช่วยคิดสโลแกนประจำตัวให้เธอว่า ‘ฉันจะไม่ตายเพราะมะเร็ง’ หรือ ‘มะเร็งที่ว่าร้าย แต่ฉันร้ายกว่า’ สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอกลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่ไม่ได้ส่งต่อแค่แรงบันดาลใจ แต่เป็นเหมือนสารตั้งต้นที่มีส่วนทำให้ผู้ป่วยมะเร็งไม่น้อยกล้าออกมาใช้ชีวิตอย่างที่เราเห็นเป็นภาพชินตาในวันนี้

“ทุกตัวอักษรในบทความนั้น จี๋ไม่ได้ประดิษฐ์คำอะไรเลย แต่เป็นตัวตน มุมมอง ความคิด ความรู้สึกของเราที่อยู่ข้างใน ณ ขณะนั้นจริงๆ ที่อยากจะบอกกับทุกคนว่า ‘Hey You! ไม่ต้องอาย จะหมกตัวอยู่แต่บ้านทำไม เราแค่ป่วย เราแค่ไม่มีผม และชีวิตเราไม่ได้จบแค่เป็นมะเร็ง ออกไปใช้ชีวิตซะ’ นี่คงไปตรงกับคอนเซ็ปต์บริการประกันคุ้มครองโรคร้ายของทางบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จึงถูกชวนให้เป็นพรีเซนเตอร์ในปีนั้น
“จี๋เชื่อว่า ทุกคนเมื่อรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งก็คงไม่มีใครอยากออกจากบ้านหรอก จี๋ก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ไม่อยู่นิ่ง ชอบเดินทาง ทำนั่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา พอต้องมาขลุกอยู่บ้าน 3 เดือน เราก็เริ่มรู้สึกว่า ‘ทนตัวเองไม่ไหว’ เราห่อเหี่ยว หดหู่ จนเหมือนจะเป็นซึมเศร้า จึงตัดสินใจออกมาใช้ชีวิตดีกว่า เพราะเราก็ไม่รู้ว่า วันข้างหน้าเราจะมีแรงเหมือนวันนี้ไหม นี่คือสิ่งที่อยากจะบอกกับผู้ป่วยทุกคนว่า ถ้าวันนี้ยังมีแรง อย่ามัวแต่อายอยู่เลย ออกมาใช้ชีวิตเถอะ เพราะหากวันไหนร่างกายทรุด ไม่มีแรงทำอะไรจริงๆ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายว่า รู้งี้…วันนั้นฉันออกไปเที่ยว ออกไปทำนั่น ทำนี่ดีกว่า”

ระยะตั้งต้น
“ย้อนหลังกลับไปปี 2557 ตอนนั้นจี๋อายุ 33 ปี ชีวิตกำลังสนุกกับการใช้ชีวิต ทำงานเก็บเงิน และท่องเที่ยว เพราะเพิ่งแต่งงานมาได้แค่ 4 ปี โดยมีเป้าหมายร่วมกันกับสามีว่า วันหนึ่งเราจะมีลูก เราจึงไม่เคยละเลยเรื่องสุขภาพเลย ตรวจสุขภาพประจำทุกปี และผลตรวจก็จะออกมาเหมือนเดิมทุกปี คือ ปกติ กระทั่งปี 2557 ด้วยความที่รู้สึกว่าร่างกายปกติ ไม่มีอาการเจ็บป่วยใดๆ จึงเว้นวรรคการตรวจสุขภาพไป แค่ปีเดียวจริงๆ ปรากฏว่าปีนั้นเราก็เริ่มมีอาการไอแห้งๆ โดยไม่มีอาการเจ็บคอใดๆ พูดก็ไอ นอนก็ไอ ไอตลอดเวลา จนคนรอบข้างเริ่มทักว่า เป็นวัณโรคหรือเปล่า หลังจากนั้นก็เริ่มมีอาการคันยุบยิบตามผิวหนัง โดยไม่มีผื่นใดๆ คันจนตัวเราเองเริ่มคิดว่า มีพยาธิที่ผิวหนังหรือเปล่า นั่นเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เราตัดสินใจไปหาหมอ แต่สุดท้ายก็ได้แค่ยาแก้ไอและยาแก้แพ้กลับบ้าน
“สองสัปดาห์หลังจากรับประทานยาตามหมอสั่งจนครบ แต่ปรากฏว่าอาการดังกล่าวกลับไม่ดีขึ้น ตอนนั้นเริ่มคิดได้ว่า อาการที่เป็นอยู่คงไม่ธรรมดาแล้วล่ะ จึงตัดสินใจซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อจะตรวจร่างกายอย่างละเอียด และหลังจากเอกซเรย์ช่วงอก ฟิล์มก็ปรากฏเงาดำน่าสงสัย จนคุณหมอแนะนำให้ทำซีทีสแกนช่องอกต่อ เพื่อจะได้รู้แน่ชัดว่า เงาดำที่เห็นนั้นเป็นก้อนอะไรกันแน่
“แต่ค่าซีทีสแกนเมื่อสิบกว่าปีนั้นค่อนข้างสูง ในขณะที่ร่างกายเราก็ยังไม่มีอะไรปกติ ที่สำคัญผลเลือดที่ตรวจในครั้งนั้นก็ออกมาปกติทุกอย่าง เราจึงปฏิเสธที่จะซีทีสแกน แต่ก็ไม่ได้ชะล่าใจ เพราะหลังจากวันนั้นก็ส่งภาพฟิล์มเอกซเรย์ไปให้เพื่อนๆ และรุ่นพี่ๆ ที่เป็นหมอช่วยดูให้ว่า เราควรจะซีทีสแกนดีไหม และทุกคนก็ต่างพูดไปในทิศทางเดียวกันว่า ต้องไป! และราวสองสัปดาห์หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่ตรวจสุขภาพก็โทรมาสอบถามว่า คนไข้ไปตรวจซีทีสแกนหรือยัง ตอนนั้นเริ่มรู้สึกว่า สิ่งที่พบในฟิล์มเอกซเรย์น่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว จึงตัดสินใจทําซีทีสแกนครั้งแรกในชีวิต”

วินาทีมะเร็งเข้ามาเซย์ Hi!
“จี๋เริ่มจากการเสิร์ชหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตว่า ที่โรงพยาบาลไหนมีซีทีสแกนบ้าง เพราะต้องยอมรับว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน ซีทีสแกนถือเป็นเรื่องใหม่และมีโรงพยาบาลเพียงไม่กี่แห่งที่ให้บริการ หนึ่งในนั้นก็คือ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ซึ่งเราก็เลือกที่นี่โดยไม่ลังเล เพราะหากผลซีทีสแกนบ่งชี้ว่าต้องรักษาตัวต่อ จี๋ก็จะเลือกรักษาที่นี่เลย และด้วยราคาค่าตรวจที่ค่อนข้างสูงในสมัยนั้น ทำให้รอคิวเพียงไม่นานก็ได้เข้ารับการตรวจ และผลก็เป็นไปตามคาดคือ พบก้อนเนื้อ 2 ก้อน ก้อนหนึ่งที่ช่องอก อยู่ระหว่างปอดกับหัวใจ ขนาดประมาณ 9 เซนติเมตร และอีกก้อนขนาด 2 เซนติเมตร ที่ไหปลาร้า แม้จะช็อกกับผลตรวจ แต่จี๋ก็ยังไม่คิดถึงคำว่า ‘มะเร็ง’ เลย ในหัวตอนนั้นมีแค่คำว่า ‘เนื้องอก’ ขณะที่คุณหมอที่อ่านผลในวันนั้นกลับดูร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด และพยายามทำทุกทางที่จะส่งตัวเราไปหาหมอเฉพาะทางให้เร็วที่สุด ซึ่งก็สำเร็จ วันนั้นจี๋ได้เข้าพบคุณหมอแผนกศัลยกรรมหัวใจ ก่อนจะถูกเจาะเลือดไปตรวจทันที และพอผลเลือดออกมา คุณหมอก็เรียกเข้าไปพบและประโยคแรกๆ ที่ท่านพูดขึ้นมาก็คือ ‘หมอดูแล้วมันไม่น่าใช่เนื้องอกธรรมดานะ’
“จากที่คิดมาตลอดว่า ก้อนที่พบนี้เป็นเนื้องอก เดี๋ยวผ่าออกก็คงจะจบ ดูเหมือนตอนนี้ไม่ใช่แล้ว แต่ก็ยังใจดีสู้เสือถามคุณหมอไปว่า ผ่าออกเลยได้ไหมคะ คุณหมอก็อธิบายเพียงสั้นๆ ว่า ส่วนใหญ่จะไม่ผ่าออก จากนั้นคุณหมอก็ทำเรื่องส่งตัวไปยังแผนกโลหิตวิทยา ด้วยความสงสัยพลุ่งพล่านจึงถามคุณหมอไปตรงๆ ว่า เป็นอะไรกันแน่ ซึ่งท่านก็ตอบแบบเลี่ยงไม่ได้ว่า คุณอาจจะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่อย่างไรต้องไปคุยกับคุณหมอโลหิตวิทยาก่อน เพื่อให้เขาฟันธงอีกที”

โชคดีที่เป็นมะเร็ง
‘เราเป็นได้ไงวะ
เราอายุแค่ 30 กว่าเอง
มะเร็งต้องเป็นโรคของคนแก่สิ
หรือคนที่กินเหล้า สูบบุหรี่สิ’
“นั่นเป็นความคิดชั่วแล่นที่เข้ามาในหัวทันทีที่ได้ยินคำว่ามะเร็งจากปากคุณหมอ เพราะมะเร็งสำหรับเราในตอนนั้นก็คือ โรคร้ายแรง เป็นแล้วตายแน่ๆ มีแค่นั้น นั่นเป็นภาพจำจากสื่อต่างๆ แม้แต่ Google ในสมัยนั้นเอง เวลาที่ค้นหาคำว่า ‘มะเร็ง’ เราก็จะเห็นแต่ภาพของความน่ากลัวและความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย ในขณะที่เราเองดูแลสุขภาพมาตลอดชีวิต ออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพประจำปี ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ คนในครอบครัวก็ไม่มีประวัติเป็นมะเร็งมาก่อน เรียกว่าแทบไม่มีความเสี่ยงใดๆ เลย แต่ทำไมเราถึงเป็นมะเร็ง
“เป็นมะเร็งจริงเหรอ ใช่เหรอ ทำไมร่างกายเราไม่เห็นผิดปกติอะไรเลย เราเป็นผู้ป่วยมะเร็งจริงๆ เหรอ ฯลฯ ขณะที่สารพัดคำถามวนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด คุณหมอก็แจ้งว่า นัดหมายกับทางคุณหมอโลหิตวิทยาให้เรียบร้อยแล้ว โดยเราต้องไปพบคุณหมอที่คลินิกนอกเวลา โรงพยาบาลศิริราช ฝั่งรัฐบาล ในอีกไม่กี่วันต่อมา
“พอถึงวันนัด คุณหมอโลหิตวิทยาก็สั่งตรวจเลือดทุกอย่างที่เกี่ยวกับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบบละเอียดยิบ ก่อนจะขอเจาะไขกระดูกในวันนั้นด้วย ซึ่งยอมรับว่าตกใจเพราะไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน ที่สำคัญเราแทบไม่มีความรู้เกี่ยวกับ การเจาะไขกระดูก เลย จึงยิงคำถามกับคุณหมอไม่ยั้ง เช่น ต้องทำอย่างไร ต้องเตรียมตัวอย่างไร เจ็บมากไหม เจาะเสร็จต้องแอดมิตไหม ฯลฯ คุณหมอตอบกลับมาอย่างชิลล์ๆ ว่า ‘เจาะแค่แปบเดียว เดี๋ยวก็เดินกลับบ้านได้เลย’ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คุณหมอบอก หลังคุณหมอลงมือเจาะไขกระดูกที่ห้องหัตถการข้างๆ ห้องตรวจเสร็จ โดยที่เราเองไม่ต้องเปลี่ยนชุดอะไรเลย ที่สำคัญคือไม่มีความรู้สึกเจ็บใดๆ เลย รู้แค่ว่าคุณหมอกดเข็มเข้าไปที่สะโพก จึก! เดียว โดยใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที จากนั้นคุณหมอก็บอกพยาบาลให้เอาเจลเย็นประคบไว้อีก 15 นาที ก็ลุกเดินกลับบ้านได้ตามปกติ
“ก่อนกลับเราก็ไม่ลืมถามคุณหมอว่า ทำไมต้องเจาะไขกระดูก คุณหมอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า เป็นการตรวจเช็กว่าเซลล์มะเร็งแพร่กระจายเข้าไปที่ไขกระดูกหรือยัง เพราะเมื่อไรที่เซลล์มะเร็งเข้าไปที่ไขกระดูก นั่นหมายถึง เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะ 4 แล้ว ซึ่งก็จะทำให้กระบวนการในการรักษาแตกต่างออกไป จากนั้นก็ล่ำลาคุณหมอเพื่อกลับบ้านมารอลุ้นผลว่า มะเร็งจะเข้าไปที่ไขกระดูกหรือยัง
“แม้จะผ่านมากว่า 11 ปีแล้ว แต่สิ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำเสมอจนถึงวันนี้ก็คือ คำพูดของคุณหมอในวันนั้นที่บอกว่า ‘ดีแล้ว…ที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง’ ด้วยความสงสัยเราก็ถามคุณหมอกลับไปว่า ‘เป็นมะเร็ง! มันดีตรงไหนเหรอคะหมอ’ (หัวเราะ) คุณหมอหันมาแล้วตอบอย่างชิลล์ๆ ว่า ‘ก็ดีกว่าเป็นเนื้องอก อย่างน้อยคุณก็ไม่ต้องผ่าตัดแหวกอก ซึ่งเสี่ยงมาก เนื่องจากก้อนที่พบนั้นมีขนาดใหญ่และใกล้เส้นเลือดใหญ่ ใกล้อวัยวะสำคัญอย่างหัวใจ’ พอได้ฟังคุณหมอใจก็เริ่มฟูขึ้นมา แต่ก็ยังไม่เคลียร์จึงถามต่อว่า ‘ถ้าไม่ผ่าตัดแล้วจะรักษาอย่างไร’ คุณหมอก็บอกว่า “ก็ให้คีโมและฉายแสง เดี๋ยวก้อนก็จะค่อยๆ ยุบไปเอง’ จากที่ใจฟูๆ แฟบทันทีพอได้ยินคำว่า ‘คีโม’ (หัวเราะ) เพราะไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี
“หลังผลการตรวจเลือดและไขกระดูกออกมา คุณหมอก็แจ้งว่า จี๋เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด CD20-positive ระยะ 2A โดยมีก้อน 2 แห่ง คือ ช่องอกและไหปลาร้า แต่โชคดีที่ยังไม่เข้าไขกระดูก ซึ่งกระบวนการรักษาที่คุณหมอวางไว้ก็คือ คีโมทั้งหมด 8 ครั้ง ฉายแสงต่ออีก 23 ครั้ง และด้วยชนิดมะเร็งที่เป็นมียามุ่งเป้า คุณหมอจึงแนะนำว่า ควรให้ยามุ่งเป้าร่วมด้วย โดยยามุ่งเป้าในสมัยนั้นราคาราวเข็มละ 8 หมื่นบาท เราก็ถามคุณหมอตรงๆ ว่า ‘ถ้าหนูไม่มีเงินซื้อยาตัวนี้ หนูต้องตายเลยไหมคะหมอ’ คุณหมอก็ตอบว่า ‘ไม่ตาย…หมอก็แค่ใช้ยาเบสิกธรรมดาที่ไม่มี ‘ริทูซิแมบ’ (Rituximab) ที่ช่วยลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็ง และตัวยานี้เองที่ทำให้ยามุ่งเป้ามีราคาสูง’ แน่นอนว่าเราเลือกที่จะจ่าย”

เข้าคลาสวิชามะเร็ง
“หลังสรุปแผนการรักษากับคุณหมอเรียบร้อย ก็มาถึงขั้นตอนการนัดหมายเพื่อทำคีโม แต่ปรากฏว่าคุณหมอติดภารกิจสำคัญ ทำให้กระบวนการรักษาต้องเลื่อนออกไปกว่า 2 เดือน เราเองรู้สึกว่า ถ้าช้า…อาจจะไม่รอด จึงเบนเข็มหาคุณหมอคนใหม่ ผ่านการเสิร์ชหาจาก Google และเราก็ได้ชื่อ รศ. นพ.สุภร จันท์จารุณี ซึ่งท่านเป็นรองประธานชมรมโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแห่งประเทศไทย สมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทยในสมัยนั้น และเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลรามา รวมถึงมีคิวลงตรวจที่โรงพยาบาลรามคำแหงด้วย และเพื่อความรวดเร็วก็โทรขอนัดพบคุณหมอที่โรงพยาบาลรามคำแหง จำได้ว่าวันแรกที่พบกัน พอคุณหมออ่านเอกสารผลตรวจที่เตรียมไป ท่านก็ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ‘อ้าว! อยู่ศิริราชก็ดีแล้วนี่ จะมารักษาที่นี่ทำไมล่ะ คุณหมอที่ดูแลคนนี้ก็เก่งนะ มาทำไม’
“หลังจากสาธยายเหตุผลต่างๆ ให้คุณหมอฟัง คุณหมอก็ตอบตกลงที่จะรับเราเป็นคนไข้ในความดูแลตามเงื่อนไขว่า ขอเป็นคนไข้คุณหมอที่รามา เพราะมีค่าใช้จ่ายอยู่จำกัด คุณหมอก็ไม่ขัดข้อง และพอเข้าสู่กระบวนการรักษา จี๋กลับรู้สึกว่า เราไม่ใช่คนไข้ของคุณหมอ แต่เป็นเหมือนลูกศิษย์ของคุณหมอมากกว่า เพราะคุณหมอสอนทุกอย่าง ตั้งแต่การเตรียมตัวเข้าสู่การรักษาจนจบ โดยสิ่งที่ท่านกำชับอย่างหนักคือ ท่านพูดอะไรให้เชื่อฟัง ปฏิบัติตาม และอย่าแอบไปกินสมุนไพรหรืออาหารเสริมใดๆ โดยไม่บอกหมอ เพราะทุกอย่างมันมีผลต่อการรักษา นี่เองที่ทำให้จี๋รู้เลยว่า เราเลือกคุณหมอไม่ผิด
“หนึ่งสัปดาห์ถัดมา จี๋ก็ขอคุณหมอผ่าตัดใส่พอร์ตสำหรับให้คีโมที่หน้าอก เพื่อตัดปัญหาเรื่องต่างๆ นานาที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นหาเส้นเลือดไม่เจอ เส้นเลือดเสียหาย หรือแสบเส้นเลือดระหว่างการให้คีโม ฯลฯ โดยค่าผ่าตัดใส่พอร์ตในตอนนั้นราว 5 หมื่นบาท จากนั้นเราก็ได้เข้าสู่กระบวนการรักษาเต็มรูปแบบ โดยทุกครั้งที่มาพบคุณหมอ จี๋ก็จะต้องติดปากกาและกระดาษเพื่อมาเลกเชอร์สิ่งที่คุณหมอแนะนำ ซึ่งดูแล้วก็ไม่เหมือนมาหาหมอเท่าไร คล้ายการมาเลกเชอร์วิชามะเร็งกับคุณหมอมากกว่า (หัวเราะ) และคุณหมอจะพูดอยู่บ่อยครั้งว่า ‘อยากรู้อะไรก็ถามมาแล้วก็จดไป จะได้ไม่ลืม’ นอกจากนี้คุณหมอยังสอนให้ทำแฟ้มประวัติการรักษาของตัวเอง โดยให้รวบรวมประวัติการรักษา ผลการตรวจและรักษาทุกอย่างไว้ จากนั้นก็ให้พกติดตัวไปทุกที่ เผื่อวันหนึ่งวันใดเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น หมดสติ สื่อสารไม่ได้ ฯลฯ แฟ้มนี้จะช่วยชีวิตเราได้”

ปรากฏการณ์คีโม
“คีโมครั้งแรกจี๋แอดมิตที่โรงพยาบาลพญาไท เนื่องจากที่โรงพยาบาลรามาเตียงไม่ว่าง คุณหมอจึงแนะนำให้แอดมิทที่โรงพยาบาลพญาไท ก่อนจะจ่ายยาจากรามาให้มานอนดริป (Drip) ยาเข้าไปทีละนิดเป็นเวลา 5 วันที่โรงพยาบาลพญาไท นอกจากอาการมึนและปวดหัวเล็กน้อย ก็ไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ กระทั่งคุณหมอให้กลับมาพักฟื้นที่บ้านราว 2 วัน ก็เริ่มมีอาการผมร่วง ท้องผูก เจ็บกราม ทำให้เคี้ยวหรือกลืนอาหารลำบาก และมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหัว เป็นไข้ แต่ก็เป็นอาการที่เรารับมือได้
“พอวันที่ 3 คุณหมอก็นัดกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว คุณหมอก็ให้เลือกว่า จะฉีดแบบ 7 เข็ม 7 วัน หรือจะฉีดเข็มเดียวไปเลย โดยสิ่งที่แตกต่างกันก็คือเรื่องราคาเท่านั้น หมอก็หันมาถามว่า สะดวกแบบไหน เราก็บอกว่า สะดวกเข็มเดียวเลย ราคาประมาณ 1 หมื่นบาท ซึ่งแพงกว่าการฉีด 7 เข็ม อยู่ราว 4,000 บาท ตอนนั้นก็ยังถามคุณหมอแบบติดตลกว่า มีคนไข้เลือก 7 เข็มบ้างไหมคะ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ ผู้ป่วยบางคนก็ไม่สามารถรับยาแรงๆ ได้ในครั้งเดียว ก็ต้องเลือกแบบ 7 เข็ม 7 วัน แต่หากใครมีโอกาสได้เลือก นั่นแสดงว่าร่างกายสามารถรับได้ทั้งสองแบบ
“หลังจากคุณหมอดูอาการต่างๆ ซึ่งไม่น่าเป็นกังวล ก็ตัดสินใจเปลี่ยนสูตรยา โดยเข็มที่ 2-8 สามารถให้ยาแล้วกลับบ้านได้เลย โดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล และต้องกลับมาให้ยาทุก 21 วัน แต่สิ่งที่ยังต้องทำเหมือนเดิมคือการฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดหลังจากให้คีโม 3 วัน ด้วยความที่เราเริ่มรู้แล้วว่า 3 วันหลังจากให้คีโมเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนเพลียมา จึงไม่อยากออกมาโรงพยาบาลแล้ว จึงปรึกษาขอยากลับไปฉีดเองที่บ้าน ซึ่งคุณหมอก็อนุญาต โดยยานี้จะฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่พุงเหมือนการฉีดอินซูลินทั่วไป”

ป่วยไม่หง่อม
“คีโมเข็มที่ 3 นับเป็นเข็มวัดใจ เพราะนอกจากรูปร่างภายนอกที่ทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งผมร่วง ผิวดำคล้ำ คิ้วบางลง ฯลฯ ข้างในเราก็อ่อนแอลงมาก ทุกครั้งที่ส่องกระจกเราจะรู้สึกว่า เราจะตายไหมเนี่ย ทำไมเราโทรมได้ขนาดนี้ โทรมทั้งกายและใจ ชีวิตเข้าสู่โหมดดำดิ่ง บางทีก็นั่งร้องไห้และถามตัวเองซ้ำๆ ว่า ทำไมต้องเป็นเรา ทำไมๆๆๆ แต่เป็นอยู่ได้ไม่นาน ก็พยายามตั้งหลักใหม่ด้วยการหันมาเสพข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับมะเร็งในเวย์ให้กำลังใจและเป็นไปในทิศทางบวกให้ได้มากที่สุด
“แต่ต้องยอมรับว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อน สื่อไทยแทบไม่มีการนำเสนอมะเร็งในมุมมองบวกเท่าใดนัก และผู้ป่วยมะเร็งที่จะเปิดเผยว่า ตัวเองเป็นมะเร็งยังมีน้อยมาก นับคนได้เลย เพราะพอเป็นมะเร็งแล้ว ไม่อยากบอกใคร แต่เราก็ไม่ละความพยายาม โชคดีที่ช่วงนั้นเราเพิ่งเริ่มเล่นไอจีก็ไปเจอผู้ป่วยมะเร็งชาวต่างชาติคนหนึ่ง เขาเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่หัวโล้น แต่เพนต์หัว แต่งตัว แต่งหน้า ใช้ชีวิตตามปกติเหมือนคนทั่วไป ในขณะที่เมืองไทยสมัยนั้นหากผู้ป่วยมะเร็งลุกขึ้นมาแค่ทาปากแดงหรือทาเล็บ ก็คงเกิดดราม่าแน่ๆ
“หลังจากกดฟอลโล ติดตามชีวิตของผู้ป่วยคนนี้ได้สักพัก ก็ส่งข้อความไปทักทาย แนะนำตัว และหลังจากนั้นมาก็พูดคุยกับเขาผ่านทางข้อความ ซึ่งทุกครั้งก็จะได้กำลังใจกลับมา ที่สำคัญคือมุมมองของเราเปลี่ยนไป นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราลุกขึ้นดูแลตัวเอง แต่งตัว แต่งหน้า ทาปากแดง เพียงเพื่อจะบอกให้ทุกคนที่รักเรา อยู่ข้างๆ เรารู้ว่า เราไหว! ซึ่งหลังจากนั้นมา บรรยากาศในบ้านก็เปลี่ยนไป ทุกคนผ่อนคลายมากขึ้น จากที่มีสีหน้ากังวลอยู่เสมอว่า ลูกฉันจะไหวไหม เมียฉันจะตายไหม ฯลฯ ก็กลายเป็นว่า สามีเริ่มชวนออกไปกินข้าวนอกบ้าน พาไปเที่ยวทะเล ฯลฯ
“กระทั่งจบคีโมเข็มที่ 8 ก็ต่อด้วยการฉายแสงก้อนที่บริเวณหน้าอกอีก 23 ครั้ง โดยทางคุณหมอรังสีที่โรงพยาบาลรามาแนะนำให้เปลี่ยนมาฉายแสงที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เนื่องจากมีเครื่องฉายรังสีแบบ 3D ที่ถือว่าดีมากในสมัยนั้นและใกล้บ้าน จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเดินทางไกลทุกวัน เพื่อมาฉายแสงแค่วันละ 15 นาที กว่า 23 ครั้ง นั่นทำให้การฉายแสงเป็นช่วงที่สบายที่สุดในกระบวนการรักษามะเร็ง เพราะจี๋สามารถขับรถไปฉายแสงเองคนเดียว และเหมือนได้ชีวิตปกติกลับคืนมาแล้ว”

โรคร้ายที่รักษาได้
“มะเร็งก็เหมือนประสบการณ์ชีวิตหนึ่งที่พูดได้เลยว่า ถ้าไม่เจอเองกับตัว ก็คงไม่รู้ เพราะมันเปลี่ยนความคิดเราหลายอย่าง และทำให้เราตระหนักถึงความไม่แน่นอนของชีวิต เรารู้ซึ้งว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ และสิ่งเดียวที่เราจะทำได้ก็คือเตรียมตัวให้พร้อมกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
“จะมีสักกี่คนที่วางแผนเก็บเงินไว้รักษาตัวยามป่วยไข้? เราทุกคนล้วนทำงานหนัก เพื่อจะเก็บเงินไว้สร้างตัว ซื้อรถ ซื้อบ้าน ฯลฯ จนหลงลืมไปว่า เราทุกคนป่วยได้ ฉะนั้น ไม่มีใครคิดจะทำประกันไว้หรอก จี๋ก็เคยเป็นคนหนึ่งที่คิดอย่างนั้น แต่ในวันที่จี๋ป่วยเป็นมะเร็งในครั้งนั้น บอกได้คำเดียวว่า จุก! เพราะประกันสุขภาพทั่วไปที่เรามี ไม่ครอบคลุมถึงโรคร้ายที่เราเป็น
“ทุกวันนี้จี๋ยังมองว่า มะเร็งก็ยังคงเป็นโรคร้ายแรงที่สามารถเกิดได้กับทุกคน โดยไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดอายุ และไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มใดๆ และต่อให้เรารักษาสุขภาพดีแค่ไหน มะเร็งก็เกิดขึ้นได้ แต่โชคดีที่วิวัฒนาการทางการแพทย์ในปัจจุบันทำให้มะเร็งไม่เท่ากับตายอีกแล้ว มะเร็งเป็นโรคร้ายที่รักษาได้ และที่สำคัญคนไทยมีสิทธิ์การรักษามะเร็งที่ดีขึ้น และมีนวัตกรรมมากมายที่ช่วยยืดอายุผู้ป่วยให้ยาวนานขึ้น ภายใต้คุณภาพชีวิตที่ดีกว่าสมัยก่อน และหากเจอไว โอกาสในการรักษาให้หายขาดก็สูงขึ้นอีกด้วย”
___
เรื่อง : เพชรภี ปิ่นแก้ว
ภาพ : วุฒินันท์ จันโทริ