ซูเปอร์มัมแฝดคนละฝาผู้ส่งพลังบวกผ่านเพจ ‘แฝดมะเร็งสวย รวยความสุข’

‘แฝดมะเร็งสวย รวยความสุข’ ก่อตั้งขึ้นโดยแฝดคนละฝาที่มีชื่อพ้องเสียงกัน เกิดปีเดียวกัน มีเรื่องราวชีวิตหลายอย่างคล้ายกัน และบังเอิญได้รู้จักจนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันอย่าง กิ๊ก (อรณัฐ สุวรรณกาญจน์) และ กิ๊ฟท์ (ฐิตารีย์ เถรกุล) ทั้งคู่ตั้งใจสร้างเพจดังกล่าวเพื่อเป็นพื้นที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของพวกเธอกับการเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านม โดยพื้นที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์การรักษาเท่านั้น แต่กิ๊กและกิ๊ฟท์อยากให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจให้ผู้อ่านตื่นตัวกับโรคและหันมาดูแลตัวเอง พร้อมๆ ไปกับการส่งต่อแรงบันดาลใจ กำลังใจ และเป็นที่พักใจให้กับผู้ป่วยที่เจอเรื่องราวคล้ายกันแบบพวกเธอ 

กิ๊กคือผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายที่พบก้อนมะเร็งในวัย 29 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เธอตั้งท้องลูกคนแรก ช่วงเวลาที่ชีวิตครอบครัวกำลังจะสมบูรณ์และความสุขกำลังมาถึง จนกระทั่งเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ที่เธอเริ่มมีอาการปวดขา ยิ่งนานวัน อาการปวดก็มีมากขึ้นจนเริ่มเดินไม่ไหว อาการเดินไม่ได้เฉียบพลันก่อนคลอดที่คุณหมอหวังว่าจะดีขึ้นแต่หลังคลอดกลับยังไม่หาย ซึ่งเป็นความผิดปกติที่คุณหมอไม่ปล่อยผ่าน จึงส่งตัวเธอเข้าเครื่องสแกนเพื่อตรวจเช็กร่างกายทั้งหมดจนทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากเซลล์มะเร็งที่แพร่กระจายจากเต้านมไปยังตับและกระดูกทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการหักของกระดูกข้อสะโพก รวมถึงกระดูกสันหลังที่แหว่งไปเลยบางข้อ กิ๊กได้รับการผ่าตัดด่วนเพื่อเปลี่ยนข้อสะโพกใหม่ให้เธอสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง และถูกตัวส่งไปฉายแสงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งบริเวณกระดูกต่อทันที โดยเธอได้รับคีโมเพื่อรักษาในขั้นถัดไป แม้ปัจจุบัน ก้อนที่เต้านมจะหายไปแล้ว แต่เซลล์มะเร็งทั่วร่างกายไม่ได้หายไปด้วย เธอจึงต้องให้ยาพุ่งเป้าต่อทุกๆ 3 อาทิตย์ มาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว และทุกวันนี้กิ๊กใช้ชีวิตร่วมกับพี่มะเร็งอย่างมีความสุข

สำหรับกิ๊ฟท์ เธอพบกับก้อนแข็งที่เต้านมตั้งแต่อายุ 15 แต่เพราะยังเด็กเธอจึงไม่ได้สงสัยอะไร เมื่อเริ่มทำงานจึงได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลและได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นซีสส์ กระทั่งเวลาล่วงเลยมาเกือบ 20 ปี ก้อนเนื้อก้อนนั้นยังคงเป็นแค่ก้อนเนื้อธรรมดาๆ จนเธอเริ่มตั้งครรภ์ลูกสาวคนแรกได้เพียง 3 เดือน ก้อนเนื้อที่ว่านี้ได้เปลี่ยนไปเป็นมะเร็งและโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เธอตัดสินใจเลือกลูกเป็นส่วนหนึ่งของความสุขในชีวิต จึงปฏิเสธการรักษาทั้งหมดจนวันที่เธอได้คลอดเด็กลูกครึ่งน่ารักและแข็งแรง ผลตรวจชิ้นเนื้อระบุว่าเธอเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายไปที่ตับและกระดูก แม้กระบวนการรักษาจะแสนหนักหน่วงและไม่มีกำหนด ซึ่งดำเนินคู่ขนานไปกับบทบาทของการเป็นแม่ แต่เธอยังคงเข้มแข็ง กล้าหาญ และเด็ดเดี่ยว ทว่าไม่เคยเดียวดายเพราะเธอมีครอบครัวและเพื่อนอย่างกิ๊กคอยอยู่เคียงข้างเสมอ ไปฟังกิ๊กและกิ๊ฟท์เล่าเรื่องราวของพวกเธอ ทั้งโรคมะเร็ง การต่อสู้ ความรัก ความหวัง และมิตรภาพกัน

อุปสรรคที่ต้องฝ่าฟัน

กิ๊ก: หากย้อนเวลากลับไป โมเม้นต์ยากที่สุดสำหรับกิ๊กคือหลังจากรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เพราะกิ๊กคลอดลูกปุ๊บ ก็ทราบว่าเป็นมะเร็งทันที ฉะนั้นมันจะเป็นอารมณ์ว่า ฉันเพิ่งเดินพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์แล้วมีคนผลักเราลงมา เรากำลังมีความสุข ลูกเราเกิดมาแข็งแรง ร่างกายครบ 32 จะได้เลี้ยงลูกแล้ว พอรู้ว่าต้องแยกกับลูกเพื่อไปรักษา กลายเป็นว่าช่วงที่ดาวน์คือช่วงที่รู้ข่าวเพราะว่ามีลูกมาเป็นปัจจัยสำคัญ 

กิ๊ฟท์: กิ๊ฟท์พบก้อนเนื้อที่โตเร็วมากตั้งแต่ตอนท้อง ซึ่งตอนนั้นเรารู้อยู่แล้วว่าไม่น่าใช่ก้อนปกติ ก็เตรียมใจมาระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้เตรียมใจว่าจะเป็นมะเร็งระยะ 4 นะคะ เพราะด้วยรูปลักษณ์ของก้อนเนื้อมันแย่มาก พอคลอดลูกเสร็จ วันที่หมอสแกนและฟันธงว่ากิ๊ฟท์เป็นมะเร็งระยะที่ 4 นะ มันเหมือนกับว่าเราแทบไม่มีเวลานับ 0 1 2 3 เลย พอรู้เราเป็นขั้นที่ 4 ไปเสียแล้ว กิ๊ฟท์ทราบว่าตัวเองเป็นมะเร็งตอนที่ลูกเพิ่งเกิดซึ่งเหมือนกับกิ๊กเลย ทันทีที่รู้ สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาคือแล้วเราจะอยู่ได้นานแค่ไหน จะได้เห็นการเติบโตของลูกไหม กว่าจะผ่านช่วงเวลาตรงนั้นมาได้มันเหมือนฝันร้ายมากเลยค่ะ กิ๊ฟท์รู้สึกดาวน์อีกช่วงคือตอนให้คีโมตลอด 2 ปีของการรักษาที่ไม่เคยหยุดคีโมเลย รวมถึงการใช้ยาอย่างเอนเฮอร์ทู (Enhertu) ซึ่งน่าจะเป็นยาในอนาคตของประเทศไทย กิ๊ฟท์ได้รับผลข้างเคียงจากการรักษาเยอะมากแบบที่ไปทำให้กระจกตามีรอยและตาฟางจนมองไม่เห็น ถือเป็นช่วงหินที่เรานั่งร้องไห้ทุกวันเพราะขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ตาไม่มองเห็นแล้ว ถือเป็นสิ่งที่ยากที่สุดก็ว่าได้ค่ะ

เพราะ ‘ลูก’ คือกำลังใจ

กิ๊ก: เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งกิ๊กกับลูกต้องแยกกันทันที ลูกกลับบ้าน ส่วนกิ๊กไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวอยู่ 1 เดือน ตอนนั้นเราคิดไปต่างๆ นานาว่าแล้วลูกจะอยู่อย่างไร ใครจะเลี้ยง แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นหลังจากได้อ่านบทความของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ว่าลูกต้องมีแม่ เพราะแม่คือบุคคลที่สำคัญที่สุด นั่นเป็นเหมือนสิ่งเรียกสติตัวเองกลับ ดังนั้น การสู้ต่อคือหนทางเดียวที่เราจะได้เจอกับลูกและได้ดูแลเขา ไม่ว่าเราจะอยู่ได้นานแค่ไหน ณ ตอนนั้น กิ๊กจึงอดทนเพื่อให้ตัวเองออกจากโรงพยาบาลและกลับไปหาลูกได้ สุดท้ายกิ๊กก็ทำสำเร็จ ได้เจอลูก ลูกเราน่ารักมาก กิ๊กบอกตัวเองว่าเราต้องอยู่ต่อ จะต้องสู้กับทุกการรักษาเพื่อให้อยู่กับเขาให้ได้นานที่สุด 

กิ๊ฟท์: ชีวิตของกิ๊ฟท์เรียกว่าประสบความสำเร็จเกือบทุกอย่าง เราพอใจกับสิ่งที่เราเป็นทุกๆ ทาง แต่ลูกคือสิ่งที่เราเพิ่งเริ่มต้นและเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นความรับผิดชอบของแม่คนหนึ่งที่เราให้กำเนิดเขามา เหมือนเราอยากขอช่วงเวลาหนึ่งให้ได้เลี้ยงเด็กคนนี้ ให้น้องมีแนวทางในการเติบโตมาเป็นคนที่มีคุณภาพและเป็นคนดีของสังคมคนหนึ่งก่อนได้ไหม ทุกๆ ครั้งก่อนจะไปรับคีโม กิ๊ฟท์จะมองหน้าลูก กอดลูก เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่างน้อยๆ น้องคือกำลังใจสำคัญที่ทำให้เราอยากอยู่ต่อ เป็นคำตอบให้กิ๊ฟท์ว่าเราจะสู้และอยู่เพื่ออะไร สำหรับเราทั้งคู่ เราจะสู้เพื่อลูกและเราจะมีชีวิตต่อเพื่อเขาให้ได้ ไม่ว่าเราจะเหน็ดเหนื่อยหรือว่าเจออะไรที่หนักหนาแค่ไหนพวกเราสัญญากับตัวเองว่าจะอดทนให้ถึงที่สุด

เตรียมตัวตายกลับกลายเป็นความสุข

กิ๊ก: กิ๊กเคยคิดว่ามะเร็งเป็นเรื่องไกลตัวมาก ถึงมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง แต่ก็เป็นรุ่นปู่ย่าตายาย ซึ่งไม่มีใครเป็นมะเร็งเต้านม แล้วอยู่ดีๆ มาเกิดกับเรา ซึ่งอายุยังไม่มาก ความคิดของกิ๊กต่อมะเร็งในตอนแรกคือถ้าเป็นต้องรักษายากแน่ๆ เป็นแล้วอย่างไรก็ต้องตาย แต่พอโรคนี้มาเกิดขึ้นกับตัวเอง ความคิดจึงเปลี่ยนไปว่า จริงๆ แล้วมะเร็งเกิดได้กับทุกคนและอยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิด ยิ่งเรามีประสบการณ์เองกิ๊กพบกว่าการรักษามะเร็งทุกวันนี้มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ดีมาก บางทีมะเร็งระยะ 4 หรือมะเร็งระยะสุดท้ายที่คนพูดกันไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป หรือแม้กระทั่งภาพตอนให้คีโมที่เราเคยจินตนาการว่าจะต้องทำให้เราอาเจียนหนัก หรือทานอะไรไม่ได้แน่ๆ แต่เอาเข้าจริงเมื่อเราเข้ารับการรักษา เราปฏิเสธไม่ได้ว่าผลข้างเคียงยังมีอยู่ แต่ไม่ได้รุนแรงขนาดที่เราคิดไว้ ดังนั้น มุมมองต่อโรคจึงเปลี่ยนไปว่ามะเร็งเป็นโรคที่รักษาได้ กิ๊กไม่อยากให้คนกลัวไปเสียก่อนว่านี่คือจุดสิ้นสุดของชีวิต

กิ๊ฟท์: สำหรับกิ๊ฟท์ก็ไม่ต่างกับกิ๊กนะคะ มุมมองและทัศนคติทั้งก่อนและหลังการเป็นมะเร็งคือเหมือนกันเป๊ะ แต่ของกิ๊ฟท์ เราเป็นคนยอมรับความจริงและจะดูว่าต้องปรับทัศนคติอย่างไรให้อยู่กับความจริงให้ได้มากที่สุด ทุกคนบอกว่าการให้คีโมทรมานนะ แต่กิ๊ฟท์จะไม่เอาประสบการณ์คนอื่นมาเปรียบเทียบกับตัวเอง เพราะพื้นฐานของร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน จะบอกกับตัวเองว่าเดี๋ยวตัวเราเจอแล้วค่อยว่ากัน จนกระทั่งกิ๊ฟท์พบว่ามะเร็งไม่ได้เป็นโรคที่เป็นแล้วคุณต้องตายพรุ่งนี้ แต่เป็นโรคที่ทำให้เรากลับมาอยู่กับความเป็นจริงว่า แม้ไม่ใช่โรคที่สามารถหายขาดได้ 100% แต่มะเร็งคือโรคเรื้อรังโรคหนึ่งไม่ต่างจากโรคเบาหวานหรือความดันที่เราสามารถเข้ารับการรักษาซึ่งปัจจุบันทุกอย่างก้าวหน้าไปมาก ที่สำคัญคือเราใช้ชีวิตแบบปกติสุขได้ กิ๊ฟท์ยอมรับความจริงว่าเราอาจไม่ได้อยู่จนแก่ กิ๊ฟท์พูดกับกิ๊กเสมอว่าเรา 2 คนจะไม่มีโอกาสคนเป็นหนังเหี่ยวนะ เพราะว่าเราเป็นมะเร็งระยะ 4 แล้ว พวกเรายอมรับความจริงว่ามันไม่หาย เราแค่มองว่าอีก 3, 4 หรือ 5 ปีข้างหน้า เราพร้อมที่จะไปอย่างไร เราเหลืออะไรที่ยังไม่ได้ทำบ้าง กิ๊ฟท์วางแผนว่าจะเก็บวิดีโอให้ลูกอย่างไร จะพูดกับลูกไว้ว่าอย่างไรว่าหม่าม้าทำอะไรอยู่ อยากจะสั่งสอนเขาแบบไหน พูดง่ายๆ คือเราเตรียมความพร้อมไว้เสมอ พยายามจัดแจงเพื่อให้เมื่อวันที่เราไม่ได้อยู่แล้ว เราจะไม่มีห่วง

กิ๊ก: เห็นด้วยมาก พอเป็นมะเร็งเราก็กลัวตายแหละ แต่ว่าเราทำใจได้กับการที่ว่าเราไม่ได้อยู่ยืนยาว เราไม่มีทางหนังเหี่ยวอย่างที่กิ๊ฟท์บอก กิ๊กมีโอกาสคุยกับนักจิตวิทยา ซึ่งเขาแนะนำให้เรานึกว่า หากเราตาย เราห่วงอะไร แล้วมองย้อนกลับมา ถ้าเราห่วงลูก เราห่วงเรื่องอะไรบ้าง เขามีโรงเรียนและการเงินพร้อมไหม เขาจะมีคนสั่งสอนหรือเปล่า รวมถึงสามีที่กิ๊กก็ห่วงว่าเขาจะอยู่คนเดียวได้ไหม เหมือนกับเรามานั่งดูปัญหา แล้วเราค่อยๆ แก้ไปทีละเปราะ การที่เรารู้ว่าเราเป็นมะเร็ง แล้วรู้ว่าตัวเองน่าจะไม่ได้อยู่จนแก่เฒ่า กลายเป็นว่าเรามีเวลาในการเตรียมพร้อมเพื่อไปถึงความตายได้อย่างมีความสุข มะเร็งทำให้มุมมองการใช้ชีวิตกิ๊กเปลี่ยนไป ถ้าในวัยทำงานแบบเรา หลายคนคงอยากเติบโตในสายงานที่ทำ แต่กลายเป็นว่ากิ๊กไม่ได้มองถึงจุดนั้นแล้ว ขอแค่ได้ทำงานทุกวันอย่างมีคุณภาพ ใช้ชีวิตได้คุ้มค่ากับเวลาที่ยังหายใจอยู่ 

กิ๊ฟท์: มันเหมือนการ stay strong อยู่บนความพอดี พวกเรายืนอยู่บนความเข้มแข็งที่มันพอดี จะไม่มานั่งตั้งคำถามว่า ถ้าฉันอย่างนั้น ถ้าฉันอย่างนี้ แต่เราจะอยู่กับตอนนี้เดี๋ยวนี้ อยากทำอะไรเราจะไม่รอวันพรุ่งนี้ แต่จะทำเลยเดี๋ยวนี้ รู้ไหม แค่กิ๊ฟท์เห็นใบไม้พลิ้ว นั่นคือความสุขแล้วนะ เหมือนเป็นโมเม้นท์เล็กๆ ที่เราได้เห็นความงามบางอย่างรอบๆ ตัวอะไรแบบนั้นเลย 

เครดิต: เพจ มะเร็งสวย รวยความสุข

สร้างพื้นที่พักใจ

กิ๊ฟท์: หลังจากที่กิ๊ฟท์ปรับจูนตัวเองได้แล้ว สิ่งแรกที่พูดกับตัวเองคือการเจ็บป่วยของกิ๊ฟท์จะต้องมีประโยชน์ ชีวิตที่เหลืออยู่ของเราจะต้องสร้างแรงบันดาลใจด้านใดด้านหนึ่งให้กับคน กิ๊ฟท์อยู่อเมริกา หากเรามีโอกาสได้เป็นหนูทดลองให้กับบริษัทยาไหน กิ๊ฟท์จะเอาหมด ซึ่งเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่คิดว่าอย่างน้อยๆ อีกหลายชีวิตข้างหน้าที่เขาจะเรียนรู้จากชีวิตเราได้ เขาจะได้ยาที่ดีขึ้น ในขณะที่หนึ่งชีวิตกำลังต่อสู้และกำลังจะจากไป แต่สามารถทำประโยชน์ให้กับอีกหลายๆ ชีวิตในอนาคตข้างหน้าได้นะ 

เพจแฟดมะเร็งสวยรวยความสุขเริ่มมาจากตัวกิ๊ฟท์ที่เป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะที่ 4  แล้วตัวเองอยู่ที่อเมริกา ไม่ได้มีเพื่อนที่เป็นผู้ป่วยด้วยกันในไทย เพราะระยะของโรคที่ทำให้กิ๊ฟท์อยากใช้ชีวิตที่เหลือให้มีคุณค่ากับคนอื่น เลยตั้งเพจของตัวเองขึ้นมาก่อน เพราะคิดว่าเคสของเราสามารถเป็นตัวอย่างหรืออาจเป็นแนวทางให้กับคนอื่นได้ ซึ่งในเพจกิ๊ฟท์เล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นว่าตัวเองเป็นใคร เป็นมะเร็งได้อย่างไร และเลือกรักษาด้วยวิธีไหน แล้วเรื่องของกิ๊ฟท์ดันไปคล้ายกับเรื่องราวของกิ๊ก ทั้งชื่อที่คล้ายกัน อายุเท่ากัน ประเภทและระยะของมะเร็งเหมือนกัน พวกเราคลอดลูกเสร็จ ก็เริ่มรักษามะเร็งในวันถัดมาเลยเหมือนกัน

กิ๊ก: พอกิ๊กอ่านสิ่งที่กิ๊ฟท์เขียนเลยคอมเมนท์ไป แล้วกิ๊ฟท์ก็หลังไมค์กลับมา ได้คุยกัน แล้วกลายเป็นว่าเราคลิ๊กกันมาก เพราะมีความคิดและทัศนคติต่อโลกคล้ายกัน ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะทำเพจหรอกค่ะ แค่อยากจะแชร์เรื่องตัวเองเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น แล้วกิ๊กไม่ได้มีความมั่นใจในการทำเพจอยู่แล้วเพราะไม่ได้เป็นคนเขียนเก่ง เลยชวนกิ๊ฟท์มาทำด้วยกัน เพราะเห็นกิ๊ฟท์เขามีเพจของตัวเอง เคยเขียนนั่นนี่  

กลายเป็นว่าบทความแรกที่แชร์เรื่องราวการเจอมะเร็งของเราทั้งคู่ทำให้ผู้อ่าน รวมถึงคนใกล้ตัวกลับมาตระหนักว่ามะเร็งไม่ใช่เรื่องไกลตัว เราจะต้องเฝ้าระวังแล้วนะว่าโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกช่วงวัย จริงๆ แค่นี้ก็มีประโยชน์แล้วสำหรับพวกเรา 

การพูดคุยระหว่างคนป่วยเหมือนกัน แล้วเรารู้ว่าคำว่าการเจ็บตับ เจ็บปอด เจ็บหน้าอกเป็นอย่างไร เหมือนกับว่าคนป่วยคนอื่นๆ เมื่อได้มาคุยกับพวกเราทำให้เขารู้สึกเหมือนมีเพื่อนที่อยู่ร่วมทางที่สามารถพูดคุยกันได้อย่างเข้าใจ แล้วเรายังสามารถให้คำแนะนำได้ว่า ลองถามคุณหมอว่ามียาตัวนี้ไหม หรือคนไข้บางคนกลัวการรักษาบางอย่างที่เรามีประสบการณ์มาก่อน เราจะบอกเขาได้ว่าไม่ต้องกลัวนะคะ เบากว่าการคลอดลูกอีก สบายๆ ชิวๆ ซึ่งเวลาพวกเราให้คำปรึกษา 100% พวกเราจะตอบบนความจริงเสมอว่าเดี๋ยวคุณหมอจะให้ยาตัวนี้แล้วเราจะดีขึ้นนะ หรือยาตัวนี้จะมีผลข้างเคียงอะไรได้บ้าง เวลาที่เราได้ฟีดแบคมาว่า “ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ เขามีความคิดต่อมะเร็งเปลี่ยนไปแล้ว เขามีความรู้สึกที่ดีขึ้น ตอนนี้เขาจัดการแบบนี้แล้วกับลูกของเขาได้แล้ว” นี่เป็นสิ่งที่ทำให้กิ๊กสุขใจว่าเราได้ทำประโยชน์บางอย่างกับคนอื่นแล้ว มันแปลกมากเลย แต่ก่อนกิ๊กโฟกัสกับการทำชีวิตของเราให้ดี แต่กลายเป็นว่าพอเป็นมะเร็ง เรารู้ว่ามันยากลำบาก เป็นโรคที่น่ากลัว เรามีความกังวลมากมาย ทำให้เรารู้สึกว่า โอเคเราผ่านมาถึงจุดๆ หนึ่งมาได้แล้ว เราสามารถให้คำแนะนำคนอื่นได้ก็ควรจะทำ เราอยากช่วยคนอื่นเพราะว่าประสบการณ์ที่เรามีมันมีค่ามาก และสามารถส่งต่อเพื่อเป็นแนวทางให้คนอื่นได้  ก็เลยอยากจะส่งต่อเยอะๆ 

กิ๊ฟท์: เรา 2 คนอยากจะส่งต่อพลังบวกให้กับคนไข้หลายๆ คน เพราะคนไข้ส่วนหนึ่งพอได้ยินคำว่าเป็นมะเร็ง โลกเขาเปลี่ยนไปทั้งใบเลยนะคะ บางทีอาการป่วยอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่เมื่อเสียกำลังใจกลายเป็นว่าป่วยหนักกว่าระยะท้ายๆ เรา 2 คนจึงอยากจะแชร์เรื่องราวว่าเราเจอกับอะไรมาบ้าง เรามีมุมมองต่อโรคอย่างไร และอยากจะเป็นกำลังใจ รวมทั้งให้เพจนี้เป็นคล้ายๆ กับพื้นที่ปลอดภัยให้พวกเขาได้ 

กิ๊ก-อรณัฐ สุวรรณกาญจน์ (ซ้าย) และ กิ๊ฟท์-ฐิตารีย์ เถรกุล (ขวา)

จากคนแปลกหน้าสู่เพื่อนรัก

กิ๊ก: เป็นความรู้สึกที่แปลกมากกับการได้คุยกับคนๆ หนึ่ง ซึ่งไม่เคยเจอหน้า แค่คุยผ่านเสียงกันอย่างเดียว แต่รู้สึกว่าเราโคตรเป็นห่วงเขา รักเขา และอยากให้เขามีชีวิตที่ดี กิ๊ฟท์ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่แฟน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันมาก่อน แต่กิ๊กรู้สึกว่าเขาคือเพื่อนตาย แม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้คุยกัน ไม่ได้บอกว่าฉันรักแกนะบ่อยๆ แต่กิ๊กเชื่อว่าเขารับรู้ได้ว่ากิ๊กรักเขามากและอยากให้เขาเจอทางรักษาที่เหมาะกับตัวเอง สามารถควบคุมโรคได้ และไปถึงเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ได้ เอาจริงๆ สิ่งที่คนป่วยมะเร็งต้องการคือความรัก การที่เราพูดว่าฉันรักแกนะ มีคนที่รักแกอยู่เยอะ แค่นี้เราก็รู้สึกว่าเรามีแรงสู้กับโรคแล้วสำหรับกิ๊กนะคะ 

กิ๊ฟท์: กิ๊ฟท์ภาวนาอยู่เสมอว่าให้กิ๊กอยู่กับยาที่เขาได้ทุกวันนี้ไปได้ตลอด ไม่อยากให้เขาต้องมาเปลี่ยนยาไปเรื่อยๆ แบบเรา อย่างที่บอกเรา 2 คนเหมือนฝาแฝด ความสัมพันธ์ของเรา 2 คนเป็นความรักที่ถ้าเราอยากเห็นลูกเราประสบความสำเร็จอย่างไร เราก็อยากให้เขาได้เห็นลูกเขาประสบความสำเร็จแบบนั้น เป็นความรักที่อยากให้เขามีชีวิตได้อยู่ดูแลกันทั้งลูกและสามีได้ ในวันที่กิ๊ฟท์รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวจนท้อมากๆ และได้คุยกับกิ๊ก มันเหมือนว่าเรายังมีคนๆ หนึ่งคอนเป็นกำลังเสริมที่ทั้งเข้าใจ ทั้งคอยสร้างกำลังใจ และให้คำแนะนำต่างๆ คงเป็นความรู้สึกของความรักที่เกิดจากความเข้าใจกันจริงๆ ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่คือความรักบริสุทธิ์แบบที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ต่อกันเลย เป็นความรักที่ไม่สามารถอธิบายมาเป็นตัวหนังสือได้จริงๆ ค่ะ

คุณค่าของชีวิตที่ได้มาจากการ ‘ขอบคุณ’  

กิ๊ฟท์: กิ๊ฟท์ผ่านการทำคีโมมาเยอะมาก ทำให้ร่างกายเปลี่ยนมาเป็นอีกแบบหนึ่งเลย แต่กิ๊ฟท์จะบอกตัวเองเสมอว่า เธอกล้าหาญและเข้มแข็งมาก ถ้าพูดอะไรกับตัวเองก็คงจะบอกว่า ขอบคุณที่เข้มแข็งในทุกช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยท้อถอย ไม่เคยล้มเลิกว่าไม่ไหว ไม่เอา ไม่รักษาแล้ว ขอบคุณตัวเองที่มองเห็นคุณค่าในชีวิตเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเจออะไรแย่ขนาดไหน  ขอบคุณใจตัวเองและภูมิใจในตัวเองมากว่าเรารับตัวเองได้ทุกอย่าง ก้าวผ่านทุกความยากอย่างมีความสุข ให้กำลังใจตัวเองได้โดยไม่ต้องร้องขอจากใคร แล้วก็บอกกับตัวเองว่าดีแล้วที่มะเร็งมาเกิดกับเรา เพราะว่าเรามีวิธีในการจัดการจิตใจของเราได้ดีมากในระดับหนึ่ง กิ๊ฟท์ขอบคุณตัวเองทุกวันที่ยังมีโอกาสได้หายใจและสามารถมองสิ่งสวยงามบนโลกใบนี้ได้อยู่

กิ๊ก: มีผู้ป่วยหลายๆ คนที่ถ้าเขายังทำใจเรื่องที่เขาเป็นมะเร็งไม่ได้ เขาจะดาวน์ไปเลย ไม่สามารถดึงตัวเองกลับมาได้เลย กิ๊กจึงขอบคุณที่ตัวเองไม่จมกับความทุกข์มากเกินไปและสามารถดึงตัวเองกลับมาได้ เราภูมิใจในตัวเอง รู้สึกว่าทำได้ดีแล้วและควรจะทำดีต่อไป กิ๊กไม่อยากย้อนเวลากลับไป ไม่อยากแก้ไขอะไรทั้งนั้น สิ่งที่ตัวเองทำมาคือดีที่สุดแล้วค่ะ 

อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้าไม่เป็นใจ  

กิ๊ฟท์: หากจะแนะนำ คงจะอยากให้ทุกคนยอมรับความจริงก่อนว่าเราเป็นอะไร พยายามจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง ลองตั้งเป้าหมายว่าเราจะรักษาแบบไหน จะต่อสู้กับแนวทางการรักษาที่เลือกนี้เพื่ออะไร อยากมีลมหายใจต่อไปเพื่อใคร แล้วหากเราจะมีลมหายต่อไป ความสุขของเราคืออะไร การตั้งเป้ามาบางอย่างทำให้เรามีจุดหมายว่าเราตื่นขึ้นมาเพื่อหาคุณหมอ ไปรับคีโม เราทำไปเพื่ออะไร เมื่อเราสามารถตั้งช่วงเวลาของเราได้ว่าเราจะทำอะไร เพื่ออะไร ก้าวต่อไปเราจะเห็นแสงสว่างที่ปลายทางเพราะเรามีจุดหมายที่จะไปให้ถึง

กิ๊ก: ก่อนที่เราจะมีเป้าหมาย กิ๊กเชื่อว่าทุกคนจะต้องผ่านความรู้สึกท้อหรือว่าจิตตก กิ๊กกับกิ๊ฟท์จะพูดเสมอว่าจิตตกได้เลยค่ะ อยากร้องไห้ร้องเลย กิ๊กจะไม่พูดว่า ‘ไม่ต้องร้องแล้ว’ มันโอเคมากๆ ที่คุณจะตอบรับทุกความรู้สึกของตัวเอง ถ้าตอนนี้รู้สึกเศร้า คุณเศร้าได้เต็มที่ ร้องไห้ได้เลย เมื่อเราเสียใจไปสุดทางแล้ว เมื่อถึงจุดหนึ่งคุณรู้สึกดีขึ้นเอง เพราะฉะนั้น คำแนะนำของกิ๊กคือถ้าใครยังอยู่ในช่วงช็อก อยากร้องไห้ รับไม่ได้ ปล่อยความรู้สึกทุกอย่างที่มีออกมาให้หมด แต่ว่าไม่ควรอยู่คนเดียวนะคะ อย่างน้อยจะต้องมีคนที่คุณรู้สึกไว้ใจ คนที่พร้อมรับฟังทุกอย่าง คนที่จะไปร้องไห้กับคุณอยู่ด้วยสักคน แล้วร้องไห้กับเขา เอาให้หมด จะร้องกี่วันทำไปเลย จนเมื่อถึงจุดที่คุณรู้สึกดีขึ้น คุณจะเริ่มคิดได้ คุณจะเริ่มมีเป้าหมายอย่างที่กิ๊ฟท์บอก วันนั้นแหละคุณจะจัดการชีวิตในขั้นต่อไปได้ และพวกเราทั้งสองคนจะเป็นกำลังใจให้อีกหนึ่งแรงค่ะ 

(หมายเหตุ: คุณกิ๊ฟท์ ฐิตารีย์ เถรกุล ได้จากไปดาวดวงใหม่อย่างสงบเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2566)

เรื่อง: สุดาพร จิรานุกรสกุล
ภาพ: ศรัณย์ แสงน้ำเพชร
เพิ่มเติม: แฝดมะเร็งสวย รวยความสุข

Share To Social Media