หลายคนอาจรู้จัก โบ-เสาวณิช ผิวขาว จากคอลัมน์ ‘แม่บ้านคีโม’ ซึ่งเธอเขียนสูตรอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยมะเร็ง สำหรับทำที่บ้านด้วยตัวเอง ลงประจำทุกเดือนในเพจ TBCC ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย และบางท่านก็อาจทราบมาว่า ก่อนจะมาเป็นคอลัมนิสต์ที่ชวนคนทำอาหารไปพร้อมกับการมองโลกในแง่ดี ชีวิตของโบต้องเผชิญกับโรคมะเร็งถึงสองครั้ง การสูญเสียคนที่รักอีกสองหน รวมถึงภาวะซึมเศร้าอันเป็นผลพวงจากเหตุการณ์ทั้งสอง และล่าสุดกับการต้องพบการกลับมาของมะเร็งเป็นครั้งที่สาม ซึ่งจนถึงทุกวันนี้เธอยังคงสู้กับมัน…
หากยึดถือตามความเชื่อเรื่องเบญจเพสที่ซึ่งช่วงวัยที่ ‘ดวงตก’ ของผู้คนอยู่ที่วัย 25 เบญจเพสของโบก็มาช้าไป 7 ปี “มันแย่จนถึงขนาดเราตั้งคำถามว่าเราจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร” โบย้อนคิดถึงห้วงเวลาหนึ่งในขณะที่เธอกำลังรักษามะเร็งครั้งแรก
แต่นั่นล่ะ โบก็ฟันฝ่ามาได้ และยืนหยัดด้วยทัศนคติเชิงบวกในทุกวัน เธอบอกว่าวิกฤตทำให้เธอเคยไม่อยากมีชีวิต แต่ในทางกลับกัน เมื่อเวลาผ่านไป วิกฤตเดียวกันนี้ก็สอนให้เธอตระหนักในคุณค่าของมัน และนี่คือข้อคิดที่ตกตะกอนมาจากชีวิตของสาวแกร่งที่สู้กับมะเร็งถึงสามครั้ง และอีกหนึ่งความซึมเศร้าเพียงลำพัง
พบมะเร็งเพราะเพื่อนจ้างให้ไปหาหมอ
“จริงๆ เราเจอก้อนเนื้อที่หน้าอกมาได้สักพักแล้ว คือนอนๆ อยู่ก็คลำเจอ แต่คิดว่าเป็นลูกหนู ก็เลยชะล่าใจ” โบย้อนคิดถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด อย่างไรก็ดี คำว่า ‘สักพัก’ ที่โบว่าคือการปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาสองปี จนมาปี 2554 ก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้น และเธอเริ่มรู้สึกเจ็บ คล้ายมีใครเอาเข็มมาแทงเนื้อ
“เราก็ยังชิลล์อยู่อีกนะ คือไม่คิดว่าจะเป็นโรคร้ายอะไร อายุแค่สามสิบต้นๆ เองตอนนั้น ก็บ่นให้เพื่อนฟังว่าเจ็บ เพื่อนก็บอกให้ไปหาหมอ เราก็ดื้อดึงไม่ไป จนเพื่อนบอกว่าจ้างให้ไปก็ได้ ไปดูหน่อยเถอะ ก็เลยไป”
กระทั่งหลังผลเอ็กซ์เรย์ว่ามีก้อนเนื้อขนาด 4 เซนติเมตรอยู่ในทรวงอกด้านขวา โบก็ยังไม่คิดว่านั่นคือเนื้อร้าย คุณหมอทำการเจาะชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ หนึ่งเดือนเศษล่วงผ่าน ผลปรากฏว่าเธอเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 2A อีกนิดเดียวก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3…
“พอทราบผลก็ช็อคเลย เพราะไม่คิดจริงๆ ว่าเราจะเป็นมะเร็ง ก็เป็นคนดื่มเหล้าและสูบบุหรี่แหละ แต่ก็เหมือนคนทั่วๆ ไป ไม่ได้มีปัจจัยเสี่ยง จำได้ว่าพอหมอบอกว่าเราเป็นมะเร็ง หมอก็อธิบายขั้นตอนการรักษาให้เราฟัง แต่เราไม่ได้ยินอะไรเลย ในหัวมันอื้ออึงไปหมด จนหมอพูดจบ บอกกับเราว่ามีอะไรจะถามไหมครับ”
โบสารภาพว่าคำถามในหัวเยอะมากจนประมวลออกมาไม่ทัน ซึ่งเธอถามหมอไปเพียงแค่
“แล้วหนูยังกินเบียร์ได้อยู่ไหมคะ” เธอเล่าติดตลก แต่ก็ยอมรับว่าตอนนั้นเธอตระหนักแล้วว่าชีวิตหลังจากนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป
ต่อสู้กับการสูญเสีย
โบเป็นลูกสาวคนเล็กในครอบครัวที่เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวมากว่า 50 ปีในจังหวัดตราด พ่อของโบจากไปเมื่อตอนที่เธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ก่อนที่เธอจะพบเนื้อร้าย โบทำธุรกิจขายเสื้อผ้าที่ตลาดนัดสวนจตุจักร โดยใช้ชีวิตที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่ซึ่งเธออยู่ที่นั่นเพียงลำพังตลอดหลายปีในการรักษามะเร็ง
“เรารักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เริ่มจากการผ่าตัดสงวนเต้า ก่อนจะทำการฉายแสงและเคมีบำบัดตามขั้นตอน ก็ไปรักษาคนเดียว ถ้าช่วงไหนอาการหนักไปไม่ไหว ก็รบกวนให้เพื่อนขับรถพาไปโรงพยาบาลบ้าง พอต้องอยู่กับโรคเพียงลำพังก็มีอาการซึมเศร้านะ ถึงขนาดคิดว่าไม่ต้องรักษาก็ได้ แต่ที่สู้เพราะแม่ยังอยู่ เราอยากอยู่เพื่อแม่” โบกล่าว
กระนั้นในช่วงที่เธอรักษาจนครบขั้นตอนและมีแนวโน้มว่าจะหายขาด ชีวิตก็กลับมาเผชิญกับวิกฤต เดือนกรกฎาคม ปี 2559 พี่ชายของเธอประสบอุบัติเหตุจมน้ำเสียชีวิต ขณะที่อีก 5 เดือนต่อมา ระหว่างที่เธอกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ที่จังหวัดตราด แม่ของโบก็พบเนื้อร้ายในถุงน้ำดีขึ้นมาอีกคน สองแม่ลูกต้องไปหาหมอพร้อมกัน คนหนึ่งคือช่วงเวลาที่ใกล้จะหาย กับอีกคนคือช่วงเวลาที่เพิ่งเริ่มเป็น แต่แม่ของโบไม่ได้โชคดี เพราะมะเร็งที่เกิดในร่างแม่ของเธออยู่ในระยะสุดท้าย ไม่นานหลังจากนั้น แม่ของเธอก็จากไปในเดือนมกราคม 2560
“ทุกอย่างเหมือนพังทลาย ที่เราอยากหายจากโรคก็เพราะจะได้อยู่กับแม่ แต่พอแม่ไม่อยู่แล้ว เราจมดิ่งเลย คิดว่าแล้วเราจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม คนที่เรารักจากไปหมด ไม่เห็นต้องมีเราแล้วก็ได้” โบกล่าวเสียงเศร้า
ความเครียดจากการสูญเสียคนในครอบครัวในเวลาใกล้กันถึงสองคน ยังส่งผลให้เธอพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งในกระดูกอีก…
“มะเร็งที่หน้าอกมันกำลังจะหายแล้ว เพราะรักษาไปตามคอร์สจนหมด แต่เพราะความเครียด หมอจึงพบมะเร็งที่กระดูก ตอนพบเราคิดจะบอกหมอว่าไม่ต้องรักษาหรอก แต่หมอบอกว่ามันเป็นแค่ระยะเบื้องต้น ไม่ต้องผ่าตัดและให้ยาไปตามอาการก็หายได้”
กระนั้นโบก็ไม่อยากมีชีวิตต่ออยู่ดี
“เราพบว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าอีก ชีวิตไม่เหลือความหวังอะไร จำได้ว่าหลังงานศพแม่ ก็กลับมาอยู่กรุงเทพฯ มีอยู่คืนหนึ่ง อุ้มเส้นใหญ่ (สุนัขพันธุ์เฟรนซ์บูลด็อกผสมชิวาวา ที่เธอเลี้ยงเป็นเพื่อนในช่วงที่เป็นมะเร็งครั้งแรก – ผู้เขียน) ขึ้นไปบนดาดฟ้าของตึก นั่งอยู่บนนั้นและคิดว่าจะกระโดดลงมาพร้อมกับหมา เราทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ชีวิตพอแค่นี้…
เรานั่งนิ่งบนนั้นตั้งแต่ดึกจนถึงเช้า มีห้วงที่คิดว่าจะกระโดดลงมา แต่ก็ยังนั่งอยู่ต่อไป จนพระอาทิตย์ขึ้น จังหวะที่พระอาทิตย์ขึ้น เหมือนมีอะไรบางอย่างมาดลใจบอกว่ายังตายไม่ได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ และถ้าตายไป ทุกคนต้องเสียใจแน่เลย ทั้งพ่อ แม่ และพี่ชายเรา ทุกคนเสียสละให้เราอยู่ เรายังไม่ได้ตอบแทนอะไรพวกเขาเลย เพราะฉะนั้นเราต้องอยู่ สะสมบุญ และทำบุญให้พวกเขา…
เช้าวันนั้นเลยคิดได้ว่าเราต้องรักษาให้หายทั้งมะเร็งและโรคซึมเศร้า เราจะมีชีวิตอยู่” โบ กล่าว
อาหารคือยา และการสู้กับมะเร็งครั้งที่สาม
ทุกวันนี้โบเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ในย่านเสนานิคม ชื่อว่า ‘เตี๋ยวเลียง เสาวณิช’ ต่อยอดสูตรการปรุงของแม่ของเธอ สู่เมนูก๋วยเตี๋ยวที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดีที่เหมาะให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถรับประทานได้อย่างถูกปากและปลอดภัย ด้วยความเชื่อที่ว่าถึงเป็นผู้ป่วยก็ควรได้รับประทานอะไรอร่อยๆ เช่นกัน
“อาหารมันเป็นยา คุณค่าทางโภชนาการก็เรื่องหนึ่ง แต่รสชาติที่อร่อยมันก็ทำให้เรามีความสุข เป็นยาทางใจ ตอนเราป่วยเรารู้สึกไม่อยากกินอะไรเลย มันเบื่ออาหาร ถึงบางทีจะรู้สึกอยากกิน ก็มาเจอว่าหลายเมนูมันไม่อร่อย นอกจากเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว เราก็มาคิดต่อว่าเราแจกสูตรอาหารให้ผู้ป่วยทำเองอยู่กับบ้านได้นี่ ให้การทำอาหารเป็นกิจกรรมยามว่าง แถมยังได้ออกกำลังกายที่ไม่หนัก เป็นยาใจอีกแบบให้ผู้ป่วยด้วย” โบ พูดถึงแรงบันดาลใจอีกอย่างนั่นคือคอลัมน์ ‘แม่บ้านคีโม’ ที่เธอเขียนประจำในเพจ TBCC ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม สี่ปีให้หลังจากการรักษามะเร็งครั้งที่สอง เมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านมา โบก็รู้สึกถึงอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ซึ่งเข้าใจว่าอาจเป็นเพราะต้องยืนทำงานทั้งวัน กระทั่งอาการปวดลุกลามและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนต้องไปเอ็กซ์เรย์ที่โรงพยาบาล
วันที่ 6 มีนาคม 2563 – คุณหมอก็ได้ยืนยันว่ามะเร็งกลับมาที่กระดูกสันหลังตั้งแต่ต้นคอยาวไปจนถึงช่วงเอว ซึ่งอยู่ในระยะที่ 3 อันเกิดจากการแผ่กระจายมาจากเต้านมในครั้งแรก…
จากคนที่มีฮึดและใกล้จะเอาชนะโรคซึมเศร้าได้สำเร็จ มะเร็งก็กลับมาหลอกหลอนเธออีกครั้ง ซึ่งเธอก็ยอมรับว่าส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจไม่น้อย อย่างไรก็ดี ครั้งนี้โบตัดสินใจปฏิเสธการรักษาแบบเคมีบำบัดและฉายแสงเช่นที่แล้วมา โดยอาศัยแพทย์ทางเลือกหรือธรรมชาติบำบัดแทน
“ตอนแรกคุณหมอก็ไม่เห็นด้วยกับเรา โดยบอกว่าถ้าไม่ทำเคมีบำบัด เราอาจเหลือเวลาในชีวิตไม่เกิน 18 เดือน แต่เราก็บอกว่าเราตัดสินใจจะรักษาด้วยวิธีนี้แล้ว ซึ่งท้ายที่สุดคุณหมอก็ยอมรับการตัดสินใจ” โบ กล่าว
อาหารการกินคืออาวุธแรกที่เธอใช้ต่อสู้กับโรค เธอบอกเคล็ดลับว่าในทุกมื้อ เธอจะรับประทานผักใบเขียวปั่น 1.5 กิโลกรัม รับประทานเต้าหู้ในปริมาณมาก พร้อมกับอาหารที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อาวุธอย่างที่สองคือการฝึกจิตด้วยการนั่งสมาธิและปฏิบัติกรรมฐานในทุกวัน โบบอกว่าเธอตั้งใจใช้ชีวิตประจำวันให้มีความสุขที่สุด ความสุขที่เกิดขึ้นจากภายในของตัวเอง และความสุขที่มอบให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นเมนูอาหารแจกในฐานะแม่บ้านคีโม หรือในปัจจุบันที่หลายครอบครัวต้องประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจจาก Covid-19 เธอก็ร่วมลงทุนทรัพย์และลงแรงทำอาหารแจกจ่ายแก่ผู้ที่เดือดร้อน
“ถ้าชีวิตเราเหลืออีก 18 เดือนจริงๆ ก็อยากทำให้ดีและมีความสุขที่สุด สร้างคุณค่าในตัวเอง และมอบสิ่งที่ดีแก่ผู้อื่นในทุกวัน” โบกล่าว อย่างไรก็ดีเธอก็ยืนยันว่าการตัดสินใจเช่นนี้ หาใช่การยอมแพ้…
“ยังไงก็ตามแต่ การเตรียมตัวของเราในครั้งนี้ ไม่แปลว่า เราท้อแท้หรือไม่สู้กับโรคนะคะ เรายังคงสู้กับโรคทุกลมหายใจ เราเคยชนะมาแล้วถึงสองครั้ง ครั้งนี้เราก็ต้องชนะให้ได้อีกครั้งในแบบฉบับของเรา สู้ด้วยหัวใจ สู้ด้วยพลังบวกจากเพื่อนๆ รอบข้าง สู้สู้!” หญิงสาวที่ได้แรงบันดาลใจจากพลังในการสู้ชีวิตจากแม่และจากเพื่อนรอบข้างกล่าว พร้อมกำชับให้เราเติมรอยยิ้มของเธอลงท้ายประโยคมอบให้แก่ผู้อ่าน
เช่นเดียวกับทีมงาน Art for Cancer by Ireal ที่เป็นหนึ่งในผู้ให้กำลังใจโบ และเชื่อมั่นว่าเธอจะผ่านโรคภัยครั้งนี้ไปได้อย่างเข้มแข็ง เฉกเช่นครั้งแล้วๆ มา
เรื่อง: จิรัฏฐ์ ประเสริฐทรัพย์
ภาพ: นวลตา วงศ์เจริญ
ภาพบางส่วน: เสาวณิช ผิวขาว